BackgroundArterial adventitial vasa

Background
Arterial adventitial vasa vasorum (VV) constitute an index of neovascularization, a critical process in atherogenesis. Therefore, we sought to determine factors associated with quantitative measures of carotid VV.

Method
We analyzed data from 324 diabetics and 141 non–diabetics who prospectively underwent in vivo contrast enhanced ultrasonography (CEUS) imaging for the assessment of carotid adventitial neovascularization (VV) ratio and intima–media thickness (CIMT). Adjusted multivariable linear models were used to evaluate the relationship between baseline covariates and VV ratio and CIMT.

Results
There was no difference in age between non–diabetics and diabetics (59.8 vs 59.3, p = 0.525). The diabetics had mean hemoglobin A1C of 7.44 ± 0.99. The median CIMT (in mm) was 0.82 ± 0.22 among non–diabetics and 1.06 ± 0.19 among diabetics (p < 0.0001). The median VV ratio was higher in diabetics than non–diabetics (1.21 ± 0.26 vs. 0.80 ± 0.19, p

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

พื้นหลังVasorum vasa adventitial ต้ว (เหล่า) เป็นดัชนีของ neovascularization กระบวนการที่สำคัญใน atherogenesis ดังนั้น เราพยายามที่จะกำหนดปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเชิงปริมาณของ carotid ข้อวิธีการเราวิเคราะห์ข้อมูลจากเบา 324 และ 141 ไม่ – เบาที่ prospectively รับในสัตว์ทดลองความคมชัดเพิ่มขึ้นเครื่องอ (CEUS) ภาพสำหรับการประเมิน neovascularization adventitial carotid (เหล่า) อัตราส่วนและ intima – สื่อความหนา (CIMT) แบบจำลองเชิงเส้น multivariable ปรับปรุงถูกใช้เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างพื้นฐาน covariates อัตราส่วนเหล่า และ CIMTผลลัพธ์มีไม่มีความแตกต่างในอายุระหว่างเบาเบา (59.8 vs 59.3, p = 0.525) เบาหวานที่มีหมายถึงฮีโมโกลบิน A1C ของ 7.44 ± 0.99 ค่ามัธยฐาน CIMT (ใน mm) ถูก 0.82 ±$ 0.22 ระหว่าง – เบาและ 1.06 ± 0.19 ระหว่างเบาหวาน (p < มาก 0.0001) อัตราส่วนเหล่ามัธยฐานมีมากกว่าในเบา – เบา (1.21 ± 0.26 เทียบกับ 0.80 ± 0.19, p < มาก 0.0001) ไขมัน LDL เฉลี่ยสูงกว่าระหว่าง – เบาเบา (± 30 กับ 107 ± 31 139, p < มาก 0.0001), อาจเพราะใช้สแตตินสูงระหว่างเบาหวาน (55% เทียบกับ 15%, p < มาก 0.0001) สถานะโรคเบาหวานเกี่ยวข้องกับเกือบ 40% สูงกว่าเหล่าอัตรา (95% CI 0.243 ถึง 0.480, p < 0.001) โดยเพิ่มหน่วยในดัชนีมวลกายเชื่อมโยงกับตัว 0.9% สูงเหล่าอัตรา (95% CI กับ 0.005 0.014, p < 0.001) 10 – ปีเพิ่มขึ้นในยุคเกี่ยวข้องกับ 4% CIMT สูง (95% CI 0.001-0.007, p = 0.005) เพิ่มขึ้นความดันโลหิต systolic สิบหน่วยเกี่ยวข้องกับ 2% CIMT สูง (95% CI 0.001-0.004, p = 0.003) ในขณะที่สถานะโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น CIMT 31% (95% CI 0.191 ถึง 0.421, p < 0.001) เพศหญิงเกี่ยวข้องกับ 9% (95% CI −0.129 เพื่อ −0.041, p < 0.001) ลด CIMT โครงการ ความดันโลหิต และ CIMT ไม่เกี่ยวข้องอย่างมากกับอัตราส่วนเหล่านี้ประชากรบทสรุปNeovascularization และ CIMT ถูกขอเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน อัตราส่วนเหล่าและ CIMT ไม่สัมพันธ์กันใน cohort นี้ของผู้ป่วย มีหลอดเลือด carotid ที่น้อยที่สุดส่วนใหญ่ขับเคลื่อน ด้วยโรคเบาหวาน ข้อมูลแนะนำว่า อัตราส่วนเหล่านี้เป็นเครื่องหมายที่แตกต่างกัน และมีความแข็งแรงของ atherogenesis ในผู้ป่วยหัวใจและหลอดเลือด และมีโปรแกรมประยุกต์อาจเกิดขึ้นสำหรับสาระความเสี่ยง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ประวัติความเป็นมาของหลอดเลือดแดง adventitial แว vasorum (VV) เป็นดัชนีของ neovascularization เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเส้นเลือดอุดตัน
ดังนั้นเราจึงพยายามที่จะหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเชิงปริมาณของ VV carotid. วิธีเราวิเคราะห์ข้อมูลจาก 324 ผู้ป่วยโรคเบาหวานและ 141 ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ใช่ที่ทันทีขนานใหญ่ในร่างกายตรงกันข้าม ultrasonography เพิ่มขึ้น (CEUs) การถ่ายภาพสำหรับการประเมินของ carotid adventitial neovascularization (VV) อัตรา และความหนา intima-media (CIMT) ปรับตัวแบบเชิงเส้นหลายตัวแปรถูกนำมาใช้ในการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรพื้นฐานและอัตรา VV และ CIMT. ผลมีความแตกต่างในอายุผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้และผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ (59.8 เทียบกับ 59.3, p = 0.525) ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้หมายความว่า A1C ฮีโมโกลของ 7.44 ± 0.99 CIMT เฉลี่ย (มิลลิเมตร) เป็น 0.82 ± 0.22 ในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้และ 1.06 ± 0.19 ในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (p <0.0001) อัตราส่วน VV แบ่งเป็นที่สูงขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่าไม่ใช่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (1.21 ± 0.26 เทียบกับ 0.80 ± 0.19, p <0.0001) คอเลสเตอรอล LDL เฉลี่ยสูงในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่า (139 ± 30 เทียบกับ 107 ± 31, p <0.0001) อาจเป็นเพราะการใช้ยา statin สูงในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (55% เทียบกับ 15%, p <0.0001) สถานะผู้ป่วยเบาหวานมีความสัมพันธ์กับเกือบ 40% อัตราส่วน VV ที่สูงขึ้น (95% CI 0.243-0.480, p <0.001) ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของหน่วยในดัชนีมวลกายมีความสัมพันธ์กับ 0.9% อัตราส่วน VV ที่สูงขึ้น (95% CI 0.005-0.014, p < 0.001) เพิ่มขึ้นสิบปีในยุคที่เกี่ยวข้องกับ 4% สูง CIMT (95% CI 0.001-0.007, p = 0.005) เพิ่มขึ้นสิบหน่วยความดันโลหิตมีความสัมพันธ์กับ 2% สูง CIMT (95% CI 0.001-0.004, p = 0.003) ในขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นสถานะ CIMT 31% (95% CI 0.191-0.421, p <0.001) เพศหญิงมีความสัมพันธ์กับ 9% (95% CI เพื่อ -0.129 -0.041, p <0.001) ลดลง CIMT ไขมันความดันโลหิตและ CIMT ไม่ได้สัมพันธ์กับอัตราส่วน VV ในประชากรกลุ่มนี้. สรุปผลการวิจัยทั้งสอง neovascularization CIMT และมีความสัมพันธ์อย่างมากกับโรคเบาหวาน อัตราส่วน VV CIMT และไม่ได้เกี่ยวข้องกับแต่ละอื่น ๆ ในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดนี้ carotid น้อยที่สุดขับเคลื่อนโดยส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวาน ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าอัตราการ VV เป็นเครื่องหมายที่แตกต่างกันและแข็งแรงของเส้นเลือดอุดตันในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดและมีโปรแกรมที่มีศักยภาพสำหรับการแบ่งชั้นความเสี่ยง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

พื้นหลังใน adventitial Vasa
vasorum ( VV ) เป็นดัชนี neovascularization , กระบวนการที่สำคัญใน atherogenesis . ดังนั้นเราจึงพยายามที่จะหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับมาตรการเชิงปริมาณของเส้นเลือดใหญ่

) เป็นต้น .เราวิเคราะห์ข้อมูลจาก 324 diabetics 141 –คนไม่รับโดยการเพิ่มความคมชัดอัลตราซาวด์ ( ceus ) ภาพสำหรับการประเมิน adventitial neovascularization ( ข้อ 2 ) และอัตราส่วนความหนานทิมา–สื่อ ( แข็งตัว ) ปรับ multivariable แบบเชิงเส้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้พื้นฐานและอัตราส่วนและ VV กบ


ผลมีความแตกต่างในอายุระหว่างผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( ไม่ ) 59.8 vs 59.3 , p = 0.525 ) โดยเฉลี่ยของฮีโมโกลบิน A1C ลดลง 7.44 ± 0.99 . ที่แข็งตัวเฉลี่ย ( มม. ) เท่ากับ 0.82 ± 0.22 ระหว่างผู้ป่วยเบาหวานและ 1.06 ไม่–± 0.19 ในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( p < 0.0001 ) โดยเฉลี่ยสูงกว่าในผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่าวีวี่ไม่–โรคเบาหวาน ( 1.21 ± 0.26 และ 0.80 ± 0.19 , p < 0.0001 )ค่าเฉลี่ยของคอเลสเตอรอลสูงและโรคเบาหวาน ( เบาหวานไม่กว่า 139 ± 30 vs 107 ± 31 , p < 0.0001 ) อาจเป็นเพราะการใช้ยาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( สูงกว่า 55 % และ 15 % , P < 0.0001 ) ภาวะเบาหวานถูกเชื่อมโยงกับเกือบ 40% สูงกว่าอัตราส่วน VV ( 95% CI = 0.243 เพื่อ 0.480 , P < 0.001 ) ส่วนหน่วยเพิ่มดัชนีมวลกายมีความสัมพันธ์กับ 0.9% สูงกว่าอัตราส่วน VV ( 95% CI 0.005 ถึง 0.014 , p < 0001 ) สิบปีและเพิ่มอายุมีความสัมพันธ์กับ 4% สูงกว่าแข็งตัว ( 95% CI = - , P = 0.005 ) หน่วย - สิบเพิ่มความดันโลหิตมีความสัมพันธ์กับ 2% สูงกว่าแข็งตัว ( 95% CI = ถึง 0.004 , p = 0.003 ) และภาวะเบาหวานแข็งตัวเพิ่มขึ้น 31 % ( 95% CI 0.191 เพื่อ 0.421 , p < 0.001 ) ผู้หญิงเป็นเพศที่เกี่ยวข้องกับ 9 เท่า ( 95% Cl −− 0.129 กับ 0.041 , p < 0.001 ) แข็งตัวกว่า ไขมันความดันโลหิต และแข็งตัว ไม่มีความสัมพันธ์กับวีวี่ อัตราส่วนประชากรนี้


ทั้ง neovascularization แข็งตัวได้ข้อสรุปและเกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคเบาหวาน และอัตราส่วน VV แข็งตัว ไม่มีความสัมพันธ์กับแต่ละอื่น ๆในการติดตามผู้ป่วยที่มีหลอดเลือด carotid น้อยที่สุดส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยโรคเบาหวานข้อมูลแนะนำว่าอัตราส่วนที่แตกต่างและวีวี่ เป็นเครื่องหมายที่แข็งแกร่งของ atherogenesis ในผู้ป่วยโรคหัวใจ และมีศักยภาพสำหรับการสุ่มเสี่ยง