ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมเป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีความอุดมสมบูรณด้วยทรัพยากรธรรมชาติเกษตรกรมีความเป็นอยู่แบบพอเพียงไม่เป็นหนี้เป็นสินแต่เมื่อมีการนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาใช้เป้าหมายในการผลิตของเกษตรกรก็เปลี่ยนไป จากการผลิตแบบพออยู่พอกินมาเป็นการผลิตเพื่อขายมีการขยายพื้นที่และใช้พื้นที่อย่างเข้มข้น เน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวควบคู่กับการนำเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อเร่งให้ผลผลิตเป็นไปตามความต้องการของตลาดและผู้บริโภค แม้จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราผลผลิตแต่ถ้าพิจารณาถึงฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ พบว่ายังไม่ได้รับการ พัฒนาเท่าที่ควร เกษตรกรส่วนใหญ่ยังยากจนและมีหนี้สินจำนวนมาก นอกจากนี้กระบวนการผลิตที่เกษตรกรส่วนใหญ่ถือปฏิบัติอยู่นั้นยังมีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตรในปริมาณที่มากและต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของผู้ผลิตและผู้บริโภค ตลอดทั้งสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ และสภาพแวดล้อมอีกด้วย จากหลาย ๆ ปัญหาที่เข้ามารุมเร้า มีเกษตรกรบางกลุ่มที่เข้าใจถึงปัญหาและพยายามหาทางออกหันกลับมาทำเกษตรกรรมยั่งยืนมุ่งเน้นการพึ่งตนเอง และมีความสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น สังคมและวัฒนธรรมของชุมชน จากสภาพปัญหาการเกษตรที่เกิดขึ้น ทำให้แนวคิดที่มุ่งแสวงหาทางออกให้แก่สังคมในด้านการเกษตร ได้มีทางเลือกใหม่เกิดขึ้น ซึ่งปฏิเสธแนวคิดการทำเกษตรแผนใหม่ แม้ว่าเกษตรกรรมแบบเคมีจะยังคงเป็นกระแสหลักของระบบการเกษตรไทย แต่เกษตรกรรมแผนใหม่ก็มีแนวโน้มเสื่อมลง เนื่องจากปัจจุบันเกษตรกรรมทางเลือกได้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความล้มเหลวของระบบการเกษตรกรรมแผนใหม่ได้ก่อผลกระทบมากมายต่อสังคม.