องค์พระปฐมเจดีย์
วัดพระปฐมเจดีย์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิด ราชวรมหาวิหาร เดิมทีมีชื่อว่า พระประธม บ้างก็เรียกว่า พระบรรทม เป็นพระเจดีย์ใหญ่ ทรงระฆังคว่ำ ปากผาย มีวิหารสี่ทิศ และกำแพงแก้วสองชั้น เป็นที่ประดิษสถานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดใหญ่
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ในยุคที่ทรงเริ่มการปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ครั้งใหญ่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๙๖ ได้ทรงพิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นพระสถูปเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งประเทศอินเดียยุคโบราณ ได้มีการสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รูปทรงของพระสถูปเจดีย์ในยุคแรกจะมีรูปทรงแบบโอ สำหรับตักน้ำ หรือ บาตรคว่ำ ต่อมาได้ปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมเปนระยะๆ จนกลายเป็น พุทธเจดีย์ขนาดใหญ่ รูปทรงบาตรคว่ำ ยอดปรางค์ สูง ๔๐ วา ๒ ศอก หรือ ๙๙ เมตร และมีการบุดีบุกหุ้มองค์พระสถูปไว้ บรรจบถึงยอดพระสถูป มีลักษณะแบบศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ (ปีพ.ศ. ๒๓๙๖-๒๔๑๑)
ได้ทรงเปลี่ยนรูปทรงใหม่เป็น พระเจดีย์แบบสถาปัตยกรรมไทย รูประฆังคว่ำ ยอดแหลม ก่ออิฐ ถือปูนประดับกระเบื้องเคลือบ สูง ๓ เส้น ๑ คืบ ๖ นิ้ว หรือ ๑๒๐.๔๕ เมตร ครอบพระมหาสถูปรูปทรงบาตรคว่ำยอดปรางค์องค์เดิมไว้ภายใน มีพระวิหาร ๔ ทิศ และ พระคตระเบียง จารึกพระธรรมคาถา ล้อมรอบองค์พระมหาสถูป พระปฐมเจดีย์ พร้อมด้วยซุ้มระฆัง จำนวน ๒๔ หลัง
ผู้ออกแบบแปลนโครงสร้างองค์พระปฐมเจดีย์
๑. พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ วัดบวรนิเวศวิหาร
๒. กรมขุนราชสีหวิกรม (พระเจ้าราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าชุมสาย)
แม่กองงานบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค)
ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ได้ทรงปฏิสังขรณ์ต่อจากรัชกาลที่ ๔ ให้ประดับกระเบื้องเคลือบองค์พระปฐมเจดีย์ ได้ทรงสร้างพระวิหารคตระเบียงชั้นนอก ล้อมรอบองค์พระปฐมเจดีย์ไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้านล่าง เพื่อเป็นที่พักแรมแก่ผู้เดินทางมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ และยังโปรดเกล้าให้ย้ายกุฏิจากด้านทิศเหนือ ไปตั้งอยู่ด้านทิศใต้
ในสมัยรัชกาลที่ ๖
ทรงโปรดเกล้าให้ปฏิสังชรณ์วิหารหลวง ด้านทิศตะวันออก ให้เขียนจิตรกรรมฝาผนังภาพพระปฐมเจดีย์ ๓ องค์ และเทพชุมนุม และทรงโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาหล่อด้วยโลหะขนาดใหญ่ คือ พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ มาประดิษฐานไว้ณ พระวิหารเหนือ แล้วปรับปรุงบันไดบางส่วนให้เหมาะสม และสร้างกำแพงแก้วชั้นในแบบก่ออิฐถือปูนไว้โดยรอบแทนระเบียงชั้นล่าง
ในสมัยรัชการที่ ๗
ทรงโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระผอบบรรจุพระราชสรีรางคารในรัชการที่ ๖ และเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงประกอบพิธีบรรจุไว้ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ และทรงก่อสร้งพระอุโบสถขึ้นใหม่ เสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๗๕
ในสมัยรัชกาลที่ ๙
โปรดเกล้าฯให้กรมศิลปากรซ่อมพระประธานในพระอุโบสถ จากนั้นเปลี่ยนกระเบื้องประดับองค์เจดีย์ใหม่ แล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๕๒๔ และทางรัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างกำแพงชั้นนอกขึ้นล้อมรอบบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์
องค์พระปฐมเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่มีความใหญ่โต และมีประวัติยาวนาน ผ่านการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึงในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า องค์พระปฐมเจดีย์มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย คือ เริ่มจากการเป็นรูปทรงบาตรคว่ำคล้ายกับพระสถูปารามเจดีย์ ในลังกา มาเป็นแบบบาตรคว่ำที่มียอดปรางค์ และรูปแบบปัจจุบันที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ คือ รูปทรงระฆังคว่ำ ยอดแหลม แบบสถาปัตยกรรมไทย ทำให้เราได้เห็นถึงวิวัฒนาการ และความเป็นมาของสถาปัตยกรรมขององค์พระปฐมเจดีย์ที่ผ่านช่วงเวลาต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งการปฏิสังขรณ์ที่มีมาตลอดทุกๆรัชกาล จะเห็นว่ามีการปรับเปลี่ยน แก้ไข และปรับปรุงบางส่วน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและความเหมาะสมกับการใช้งาน รวมถึงองค์พระมากมายที่ตั้งอยู่บริเวณรอบๆองค์พระปฐมเจดีย์ ต่างก็มีความสำคัญและมีประวัติอันยาวนานได้แก่
- พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปศิลาขาวแกะสลักขนาดใหญ่ ปางประทานปฐมเทศนา สร้างในสมัยทวาราวดี (พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๖๐๐)
- พระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ เป็นพระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ หล่อด้วยโลหะ สูง ๗.๕๐ เมตร ถูกบูรณะโดยรัชกาลที่ ๖ ตั้งอยู่ในซุ้มพระวิหารทิศเหนือ
- พระพุทธนรเชษฐ์ฯ เป็นพระพุทธรูปศิลาขาวแกะสลักขนาดใหญ่ ปางปฐมเทศนา สร้างในสมัยทวาราวดี (พ.ศ. ๑๐๐๐-๑๖๐๐) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์
- พระพุทธนิรันตราย เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางสมาธิ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นเป็นพระประธานในพระวิหารด้านทิศตะวันออก หรือพระวิหารหลวง
- พระปรางโปรดปัญจวัคคีย์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น นั่งขัดสมาธิ ปางปฐมเทศนา มีสาวก ๕ องค์ นั่งล้อมอยู่ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารด้านทิศใต้ หรือพระวิหารปัญจวัคคีย์
- พระปางนาคปรก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น นั่งขัดสมาธิ ประทับบนขดพญนาค ๗ เศียร รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นประดิษฐานอยู่ในพระวิหารปัญจวัคคีย์
- พระพุทธไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ยาว ๑๗ เมตร รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารด้านตะวันตก หรือพระวิหารนอน
- พระพุทธนิพพาน เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีพระสาวก ๓ รูปนั่งล้อบรอบ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารนอน
- พระปรางประสูติ เป็นพระปฏิมาปางพระกุมารประทับยืนบนดอกบัว หล่อด้วยโลหะ มีปฏิมาสตรีสองคน เป็นพระปฏิมาเก่าแก่ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารทิศเหนือ หรือพระวิหารพระร่วงฯ
- พระปางป่าเลไลย์ เป็นพระพุทธปูนปั้น มีปฏิมาช้าง และปฏิมาลิง ตั้งอยู่เบื้องหน้าถวายการรับใช้ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารพระร่วงฯ
- พระพุทธมหาวชิรมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ ปางประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ถวายโดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ในระหว่างทรงบวชเป็นพระภิกษุ ประดิษฐาน ณ แท่นบูชา ที่ชานมุกหน้าพระวิหารหลวง
จะเห็นได้ว่าแม้แต่พระพุทธรูปก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย มีวิวัฒนาการเรื่อยมาตามระยะเวลาที่ผ่านมายาวนาน มีการปรับเปลี่ยนการใช้วัสดุในการทำพระพุ