Coffee is one of the most frequentl

Coffee is one of the most frequently consumed beverages in the world. It represents a culture and an economy. It has been produced in Colombia since the nineteenth century and is the main export to more than 36 countries; in 2008 it represented close to 12.4% of the harvest of mild Arabica type coffee and 12.2% of worldwide coffee exports. There are approximately 590 coffee growing municipalities, 513,000 coffee growers, 640,000 direct employees, and more than a million indirect employees, which means approximately 2 million people dependent on coffee cultivation [1]

Over 2,000 substances have been isolated from coffee. The major component of coffee is carbohydrates, which make up 38–42% of the toasted coffee bean, followed by lipids and amino acids with about 20 and 10%, respectively. Melanoidins make up 23% of the weight and are what give the beans their brown color. They also contain minerals, aliphatic and chlorogenic acids, trigonellines, and volatile aromas. Of the alkaloids, the most studied and recognized one is caffeine, which makes up 1.3 to 2.4% of the bean’s weight [2] followed by other purinic alkaloids such as theobromine and theophylline and pyridine such as trigonelline.

Coffee consumption is generally associated with a large number of diseases and health alterations. However, the majority of epidemiological studies regarding this relationship have not yielded a clear conclusion, mainly due to the lack of concrete and continuous information regarding the frequency of consumption, the exact composition of the beverage, and factors associated with an unhealthy lifestyle (cigarette smoking, alcohol, and sedentarism). These aspects in combination could lead to diseases or health problems [3].

Many epidemiologic studies have studied the relationship between coffee consumption and the risk of heart disease. An analysis [4] of the coffee-mortality relationship states that there is no direct relationship between coffee consumption and an increase in mortality; on the contrary, the authors describe a slightly Inverse relationship between the consumption of coffee and their benefits related to the inflammatory process, endothelial function, and the risk of developing type 2 diabetes. According to Yukawa et al. [5] the regular consumption of coffee reduced susceptibility to low-density lipoprotein oxidation, a pathway which develops in atherosclerotic plaques, thus favoring endothelial function. In another vein, it has been shown that some coffee components, especially phenolics (chlorogenic acid, ferulic acid), have a great antioxidant capacity [6], and the consumption of coffee is associated with a small reduction in mortality in women with hepatic disease and/or cirrhosis and shows a protective effect on the liver in hepatic cancer [7]. Additionally, caffeine increases the production of urine with water and electrolyte secretion patterns very similar to those seen with the thiazides [8]. The underlying mechanisms may depend on various factors such as dose, chronic exposure, genetic and enzymatic factors, among others. In animal studies with caffeine exposure, an increase in glomerular filtration and kidney blood flow, especially in the renal medulla, is seen. In a study of the intrarenal mechanisms responsible for the natriuretic effect of caffeine, the renal secretion of sodium increased, and the glomerular filtration rate remained the same, suggesting that diminished fractional sodium reabsorption, both in the proximal and distal tubule of the nephron, contributes to the natriuretic effect of caffeine [8]

Caffeine is the psychoactive substance most widely consumed in the world, it is found not only in coffee but also in tea, carbonated beverages or soft drinks, chocolate, and a wide variety of medications, including appetite suppressants, diuretics, analgesics, and decongestants; the majority of which are sold over the counter and do not have a regulatory control [9, 10]. If you combine the consumption of coffee, tea, chocolate, and soft drinks, the general population consumes a considerable amount of caffeine per day. Adults over the age of 25 have an estimated consumption of approximately 2.4 mg/kg/day, while children under the age of 12 have an estimated consumption of approximately 0.7 mg/kg/day. In addition, it has been confirmed that theobromine and theophylline are alkaloids also found naturally in green tea, black coffee, and cacao [11] however, the direct effect of these substances on physiological responses to the ingestion of foods and beverages containing these types of alkaloids, and the role of each, is not clear.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ใช้บ่อยที่สุดในโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง มันแสดงถึงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ มันมีผลิตในประเทศโคลัมเบียตั้งแต่ศตวรรษ และมีการส่งออกหลักไปยังประเทศมากกว่า 36 ในปี 2008 ได้แสดง 12.4% ของการเก็บเกี่ยวชนิดอ่อนกาแฟและ 12.2% ของการส่งออกกาแฟทั่วโลก มีประมาณ 590 กาแฟเติบโตอำเภอ เกษตรกรกาแฟ 513,000 พนักงานโดยตรง 640,000 และมากกว่าล้านอ้อม พนักงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกกาแฟ [1] ประมาณ 2 ล้านคนสาร 2000 ได้แยกต่างหากจากกาแฟ ส่วนประกอบสำคัญของกาแฟคือ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งทำให้ค่า 38-42% ของเมล็ดกาแฟนม ตามโครงการและกรดอะมิโนประมาณ 20 และ 10% ตามลำดับ Melanoidins ทำขึ้น 23% ของน้ำหนัก และมีอะไรให้ถั่วสีน้ำตาลของพวกเขา พวกเขายังประกอบด้วยแร่ ธาตุ aliphatic และกรด chlorogenic, trigonellines และกลิ่นระเหย ของ alkaloids การศึกษา และรู้จักคือ คาเฟอีน ซึ่งทำให้ค่า 1.3 2.4% ของน้ำหนักของถั่ว [2] ตาม alkaloids อื่น ๆ purinic theobromine และ theophylline และ pyridine เช่น trigonellineโดยทั่วไปเกี่ยวกับโรคและการเปลี่ยนแปลงสุขภาพจำนวนมากปริมาณกาแฟได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของการศึกษาความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์นี้มีไม่ผลสรุปชัดเจน ส่วนใหญ่เนื่องจากขาดข้อมูลคอนกรีต และอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความถี่ของปริมาณการใช้ ส่วนประกอบที่แน่นอนของเครื่องดื่ม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตไม่แข็งแรง (การสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ และ sedentarism) ด้านในชุดเหล่านี้อาจนำไปสู่โรคหรือปัญหาสุขภาพ [3]ศึกษาหลาย epidemiologic ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟและความเสี่ยงของโรคหัวใจ [4] การวิเคราะห์ความสัมพันธ์กาแฟตายระบุว่า มีไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการบริโภคกาแฟและการเพิ่มขึ้นของการตาย การ์ตูน ผู้เขียนอธิบายเล็กน้อยผกผันความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟและประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการอักเสบ ฟังก์ชันบุผนังหลอดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตาม Yukawa et al. [5] การบริโภคปกติของกาแฟลดลงง่ายไลโพโปรตีน low-density ออกซิเดชัน ทางเดินที่พัฒนาใน atherosclerotic plaques นความฟังก์ชันบุผนังหลอดเลือดดังนั้น ในหลอดเลือดดำอื่น มันได้ถูกแสดงว่า กาแฟส่วนประกอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง phenolics (chlorogenic กรด ferulic กรด), มีกำลังมากต้านอนุมูลอิสระ [6], และการบริโภคกาแฟเกี่ยวข้องกับการตายในผู้หญิงที่มีโรคตับหรือตับแข็งลดขนาดเล็ก และแสดงผลการป้องกันตับในมะเร็งตับ [7] นอกจากนี้ คาเฟอีนเพิ่มการผลิตปัสสาวะน้ำและอิเล็กโทรหลั่งลายมีลักษณะคล้ายกับเห็น ด้วย thiazides [8] กลไกต้นแบบอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่นยา สัมผัสเรื้อรัง พันธุกรรม และเอนไซม์ในระบบ ปัจจัย หมู่คนอื่น ๆ ในการศึกษาสัตว์มีคาเฟอีนแสง จะเห็นการเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน medulla ไต และกรอง glomerular ในการศึกษากลไกการ intrarenal รับผิดชอบผลของคาเฟอีน natriuretic หลั่งไตของโซเดียมเพิ่มขึ้น และอัตราการกรอง glomerular อยู่เหมือนกัน แนะนำที่โซเดียมเศษ reabsorption ทั้งใน tubule proximal และกระดูกของหน่วยไตลดลง รวมผล natriuretic ของคาเฟอีน [8]คาเฟอีนเป็นสารออกใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก มันมีอยู่ไม่เพียง ในกาแฟ แต่ชา เครื่องดื่มอัดลม หรือเครื่องดื่ม ช็อคโกแลต และหลากหลายของยา suppressants ความอยากอาหาร diuretics ยาแก้ปวด และ decongestants ส่วนใหญ่ที่ขายผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคาร และไม่มีการควบคุมกำกับดูแล [9, 10] ถ้าคุณรวมการบริโภคกาแฟ ชา ช็อคโกแลต และเครื่องดื่ม ประชากรทั่วไปใช้จำนวนคาเฟอีนต่อวันจำนวนมาก ผู้ใหญ่อายุ 25 มากกว่ามีการปริมาณของประมาณ 2.4 mg/kg วัน ในขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีมีการปริมาณของประมาณ 0.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน นอกจากนี้ มีการยืนยันว่า theobromine และ theophylline เป็น alkaloids ที่พบตามธรรมชาติในชาเขียว กาแฟดำ และ cacao [11] อย่างไรก็ตาม ผลโดยตรงของสารเหล่านี้กินอาหารและเครื่องดื่มชนิดนี้ alkaloids และบทบาทของแต่ละ สรีรวิทยาตอบไม่ชัดเจน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่บริโภคบ่อยมากที่สุดในโลก เพราะมันหมายถึงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างเป็น มันได้รับการผลิตในโคลัมเบียตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเก้าและเป็นผู้ส่งออกหลักไปยังกว่า 36 ประเทศ; ในปี 2008 มันเป็นตัวแทนใกล้กับ 12.4% ของการเก็บเกี่ยวกาแฟอาราบิก้าอ่อนชนิดและ 12.2% ของการส่งออกกาแฟทั่วโลก มีประมาณ 590 เครื่องชงกาแฟเทศบาลเจริญเติบโต 513,000 เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ 640,000 พนักงานโดยตรงและมากกว่าล้านคนทางอ้อมซึ่งหมายความว่าประมาณ 2 ล้านคนขึ้นอยู่กับการเพาะปลูกกาแฟ [1] กว่า 2,000 สารได้รับการแยกออกจากเครื่องชงกาแฟ องค์ประกอบหลักของกาแฟคือคาร์โบไฮเดรตที่ทำขึ้น 38-42% ของเมล็ดกาแฟคั่วตามด้วยไขมันและกรดอะมิโนที่มีประมาณ 20 และ 10% ตามลำดับ Melanoidins ทำขึ้น 23% ของน้ำหนักและเป็นสิ่งที่ให้ถั่วสีน้ำตาลของพวกเขา อีกทั้งยังมีแร่ธาตุและกรดอะลิฟาติก chlorogenic, trigonellines และกลิ่นหอมระเหย ของลคาลอยด์ที่ศึกษามากที่สุดและเป็นที่ยอมรับอย่างใดอย่างหนึ่งคือคาเฟอีนซึ่งจะทำให้ขึ้น 1.3-2.4% ของน้ำหนักถั่ว [2] ตามด้วยคาลอยด์ purinic อื่น ๆ เช่น theobromine และ theophylline และไพริดีนเช่น trigonelline. การบริโภคกาแฟมักจะเกี่ยวข้องกับ จำนวนมากของโรคและการปรับเปลี่ยนสุขภาพ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของการศึกษาทางระบาดวิทยาเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ยังไม่ได้ผลสรุปที่ชัดเจนส่วนใหญ่เกิดจากการขาดข้อมูลที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่องเกี่ยวกับความถี่ของการบริโภคองค์ประกอบที่แน่นอนของเครื่องดื่มและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่ไม่แข็งแรง (การสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์และ sedentarism) ลักษณะเหล่านี้ในการรวมกันอาจนำไปสู่โรคหรือปัญหาสุขภาพ [3]. การศึกษาทางระบาดวิทยาหลายคนมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟและความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ การวิเคราะห์ [4] ความสัมพันธ์กาแฟตายระบุว่าไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการบริโภคกาแฟและเพิ่มขึ้นในการตาย; ในทางตรงกันข้ามผู้เขียนอธิบายความสัมพันธ์ผกผันเล็กน้อยระหว่างการบริโภคกาแฟและผลประโยชน์ของพวกเขาที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการอักเสบของหลอดเลือดฟังก์ชั่นและความเสี่ยงของประเภท 2 โรคเบาหวาน ตามที่ Yukawa et al, [5] การบริโภคปกติของกาแฟลดความไวต่อความหนาแน่นต่ำไลโปโปรตีนออกซิเดชั่ทางเดินที่พัฒนาในโล่ atherosclerotic จึงนิยมฟังก์ชั่นบุผนังหลอดเลือด ในหลอดเลือดดำอื่นจะได้รับการแสดงให้เห็นว่าบางส่วนประกอบกาแฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟีนอล (กรด chlorogenic กรด ferulic) มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี [6] และการบริโภคของกาแฟมีความเกี่ยวข้องกับการลดขนาดเล็กในการเสียชีวิตในผู้หญิงที่มีโรคตับ และ / หรือโรคตับแข็งและแสดงให้เห็นถึงการป้องกันผลกระทบต่อตับมะเร็งตับ [7] นอกจากนี้คาเฟอีนเพิ่มการผลิตของปัสสาวะที่มีรูปแบบการหลั่งของน้ำและอิเล็กโทรไลคล้ายกันมากกับผู้ที่มองเห็นได้ด้วย thiazides เมื่อ [8] กลไกอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่นปริมาณแสงเรื้อรังปัจจัยทางพันธุกรรมและเอนไซม์อื่น ๆ ในกลุ่ม ในการศึกษาสัตว์ที่มีการเปิดรับคาเฟอีนการเพิ่มขึ้นในการกรองของไตและไตไหลเวียนของเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานของไตไขกระดูกจะเห็น ในการศึกษาของกลไก intrarenal ความรับผิดชอบสำหรับผล natriuretic ของคาเฟอีนที่หลั่งไตของโซเดียมที่เพิ่มขึ้นและอัตราการกรองไตยังคงเหมือนเดิมบอกว่าโซเดียมเศษลดลงดูดซึมทั้งในใกล้ชิดและท่อปลายของ nephron ที่ก่อ ที่มีผล natriuretic ของคาเฟอีน [8] คาเฟอีนเป็นสารออกฤทธิ์ทางจิตส่วนใหญ่บริโภคกันอย่างแพร่หลายในโลกก็จะพบว่าไม่เพียง แต่ในกาแฟ แต่ยังอยู่ในชาเครื่องดื่มอัดลมหรือเครื่องดื่มช็อคโกแลตและความหลากหลายของยารวมทั้งความอยากอาหาร ระงับ, ยาขับปัสสาวะ, ยาแก้ปวดและ decongestants; ซึ่งส่วนใหญ่จะขายผ่านเคาน์เตอร์และไม่ได้มีการควบคุมกำกับดูแล [9, 10] ถ้าคุณรวมการบริโภคกาแฟ, ชา, ช็อคโกแลตและเครื่องดื่มที่ประชากรทั่วไปกินเป็นจำนวนมากของคาเฟอีนต่อวัน ผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 25 มีปริมาณการใช้ประมาณประมาณ 2.4 มิลลิกรัม / กิโลกรัม / วันในขณะที่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีมีการบริโภคประมาณประมาณ 0.7 มิลลิกรัม / กิโลกรัม / วัน นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันว่า theobromine และ theophylline มีลคาลอยด์ยังพบตามธรรมชาติในชาเขียวกาแฟดำและโกโก้ [11] อย่างไรก็ตามผลกระทบโดยตรงของสารเหล่านี้ในการตอบสนองทางสรีรวิทยาเพื่อการบริโภคของอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของประเภทเหล่านี้ ลคาลอยด์และบทบาทของแต่ละคนจะไม่ชัดเจน