ขั้นตอนการทำไหมก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจาก การแปล - ขั้นตอนการทำไหมก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจาก ไทย วิธีการพูด

ขั้นตอนการทำไหมก่อนที่จะทอผ้าไหมต้อ

ขั้นตอนการทำไหม


ก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจากผ่านกรรมวิธีการเลี้ยงไหมแล้วจนตัวไหมทำรังขั้นตอนต่อไปก็คือนำตัวไหมที่มีรังหุ้มอยู่มาต้มเพื่อที่จะนำใยที่หุ้มตัวไหมอยู่ออกมาในรูปของเส้นไหม ซึ่งมีกรรมวิธี ดังนี้


1. การสาวไหม
ทำได้โดยการต้มตัวไหม โดยใช้หม้อขนาดวัดโดยรอบประมาณ 25 นิ้ว ปากหม้อนั้นครอบด้วยไม้โค้งคล้ายห่วงของถังไม้และใช้ไม้ลักษณะแบนเจาะรูตรงกลางพาดระหว่างห่วงทั้งสองข้าง และเหนือไม้แบนๆ นี้ มีไม้รอกคล้ายจักรที่ให้หนูถีบ ซึ่งจักรมีลักษณะเป็นรูปกลมๆ จากนั้นเอาฝักไหมที่จะสาวใส่ลงไปในหม้อ ประมาณ 30 - 50 นาที ระหว่างที่รอให้คน ประมาณ 2 - 3 ครั้ง ให้รังไหม สุกทั่วกัน แล้วเอาแปรงชะรังไหมเบาๆ เส้นไหมก็จะติดแปรงขึ้นมา จึงนำมาสอดที่รูตรงกลางของไม้ระหว่างห่วงทั้งสองข้าง และสาวให้พ้นรอก 1 รอบ จากนั้นเวลาสาวไหม จะใช้มือทั้งสองข้าง โดยมือหนึ่งสาวไหมจากรอกลงภาชนะที่รองรับเส้นไหม ส่วนอีกมือหนึ่งถือไม้อันหนึ่งเรียกว่า "ไม้ขืน" ซึ่งมีลักษณะเป็นง่ามยาวประมาณ 1 ศอกเพื่อเพื่อใช้ในการกดและเขย่ารังไหมที่อยู่ในหม้อเพราะรังไหมที่อยู่ในหม้อนั้นจะลอยถ้าไม่กด และเขย่าก็จะเกาะกันแน่นสาวไม่ออก หรือออกมาในลักษณะที่เส้นไหมมีขนาดไม่สม่ำเสมอกัน เครื่องสาวไหมทั้งหมดเรียกว่า "เครื่องพวงสาว" การสาวไหมนี้ต้องหมั่นเติมน้ำเย็นลงไปเป็นระยะระวังอย่าให้น้ำถึงกับร้อนและเดือด
เครื่องมือในการสาวไหมประกอบด้วย
1. เครื่องสาวไหม หรือ พวงสาว คือ รอกที่ใช้ดึงเส้นไหมออกจากหม้อ
2. เตาไฟสำหรับต้มรังไหม อาจเป็นเตาถ่านหรือเตาที่ใช้ฟืนก็ได้
3. หม้อสำหรับต้มรังไหมจะเป็นหม้อดินหรือหม้อเคลือบก็ได้ ที่นิยมใช้หม้อนึ่งข้าวเหนียว เรียกว่าหม้อนึ่งเพราะมีขอบปากบานออกรับกับพวงสาวได้พอดี
4. แปรงสำหรับชะรังไหมทำด้วยฟางข้าว
5. ถังใส่น้ำ เพื่อเอาไว้เติมน้ำในหม้อต้มเมื่อเวลาน้ำร้อนเดือด
6. ไม้ขืน สำกรับเขี่ยรังไหมในหม้อให้เป็นไปตามต้องการและให้เส้นไหมผ่านขึ้นไปยังรอก
7. กระบุงหรือตะกร้า สำหรับใส่เส้นไหม


2. การฟอกไหม
หลังจากที่สาวไหมจนหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ ต้องนำไหมที่ได้นั้นมาฟอกให้นิ่มและเป็นสีขาว วิธีฟอกไหม ชาวบ้านไม่ได้ใช้สารเคมี แต่จะใช้ของที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัว เช่น กาบกล้วย ใบกล้วย ต้นกล้วย ผักโขมหนาม ต้นตัง ไก่น้อย งวงต้นตาล ก้านตาล ฝักหรือเปลือกเพกา ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งนำมาฝานให้บาง ผึ่งแดดให้แห้ง และเผาไฟจนเป็นเถ้า นำเถ้าที่ได้ไปแช่น้ำไว้ให้ตกตะกอน ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใส นำไหมที่จะฟอกลงแช่โดยก่อนจะนำไหมลงแช่จะต้องทุบไหมให้อ่อนตัว เพื่อที่น้ำจะได้ซึมเข้าได้ง่าย แช่จนไหมนิ่มและขาว จึงนำไปผึ่งแดดให้แห้ง หากไหมยังไม่สะอาดก็นำไปแช่ตามวิธีเดิมอีก จากนั้นการดึงไหมออกจากลุ่มไหมจะต้องทำโดยระมัดระวังไม่ให้พันกัน เส้นไหมที่ฟอกแล้วจะอ่อนตัวลง เส้นนิ่ม


3. การย้อมสีไหม
สีไหมที่นิยมใช้ย้อมมี 2 ชนิด คือ
3. 1. สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติ ได้จากต้นไม้ ใช้ได้ทั้งใบ เปลือก ราก แก่นและผล ชาวอีสานรู้จักการย้อมสีไหมให้ได้สีตามต้องการ จากสีธรรมชาติมานานแล้ว มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควรเริ่มจากไปหาไม้ที่จะให้สีที่ต้องการ ซึ่งจะอยู่ในป่าเป็นส่วนไหญ่ บางสีต้องการใช้ต้นไม้หลายชนิด ทำให้ยุ่งยาก เมื่อได้มาแล้วต้องมาสับมาซอย หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำไปต้มกรองเอาน้ำให้ได้มากตามต้องการ แล้วจึงนำไปย้อมแต่ละครั้งสีจะแตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนเดิมทีเดียว ทำให้เกิดรอยด่างบนผืนผ้าได้ ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมีเป็นส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด เพราะย้อมง่าย ขั้นตอนที่ทำไม่ยุ่งยากซับซ้อนสีที่ได้สม่ำเสมอ จะย้อมกี่ครั้งๆ ก็ได้สีเหมือนเดิมและสีติดทนนานมากกว่าสีจากธรรมชาติ ต้นไม้ที่นำย้อมแบบพื้นบ้าน สีที่ย้อมจากธรรมชาติ มีดังนี้
1. สีแดง ได้จาก ครั่ง รากยอ
2. สีน้ำเงิน ได้จาก ต้นคราม
3. สีเหลือง ได้จาก แก่นขนุน ขมิ้นชัน แก่นเข
4. สีเขียว ได้จาก เปลือกสมอและใบหูกวาง ใบเตย
5. สีม่วงอ่อน ได้จาก ลูกหว้า
6. สีชมพู ได้จาก ต้นฝาง ต้นมหากาฬ
7. สีดำ ได้จาก เปลือกสมอ และลูกมะเกลือ ลูกระจาย
8. สีส้ม ได้จากลูกสะตี (หมากชาตี)
9. สีน้ำตาลแก่ ได้จาก จานแก่นอะลาง
10. สีกากีแกมเขียว ได้จาก เปลือกเพกากับแก่นขนุน
11. สีกากีแกมเหลือง ได้จาก หมากสงกับแก่นแกแล
3.2. สีย้อมวิทยาศาสตร์ หรือสีสังเคราะห์ มีส่วนผสมทางเคมีวิธีย้อมแต่ละครั้ง จะใช้สัดส่วนของสี และสารเคมีที่แน่นอนสีที่ได้จากการย้อมแต่ละครั้งจะเหมือนกัน แหล่งทอผ้าในปัจจุบันนิยมใช้สีย้อมวิทยาศาสตร์






ข้อมูลทั่วไป

ก่อนจะมาเป็นผ้าไหม

เครื่องมือเตรียมไหม

เครื่องมือในการทอผ้า



การทอผ้าไหม




HOME
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ขั้นตอนการทำไหมก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจากผ่านกรรมวิธีการเลี้ยงไหมแล้วจนตัวไหมทำรังขั้นตอนต่อไปก็คือนำตัวไหมที่มีรังหุ้มอยู่มาต้มเพื่อที่จะนำใยที่หุ้มตัวไหมอยู่ออกมาในรูปของเส้นไหมซึ่งมีกรรมวิธีดังนี้1. การสาวไหม ทำได้โดยการต้มตัวไหมโดยใช้หม้อขนาดวัดโดยรอบประมาณ 25 นิ้วปากหม้อนั้นครอบด้วยไม้โค้งคล้ายห่วงของถังไม้และใช้ไม้ลักษณะแบนเจาะรูตรงกลางพาดระหว่างห่วงทั้งสองข้างและเหนือไม้แบน ๆ นี้มีไม้รอกคล้ายจักรที่ให้หนูถีบซึ่งจักรมีลักษณะเป็นรูปกลม ๆ จากนั้นเอาฝักไหมที่จะสาวใส่ลงไปในหม้อประมาณ 30-50 นาทีระหว่างที่รอให้คนประมาณ 2-3 ครั้งให้รังไหมสุกทั่วกันแล้วเอาแปรงชะรังไหมเบา ๆ เส้นไหมก็จะติดแปรงขึ้นมาจึงนำมาสอดที่รูตรงกลางของไม้ระหว่างห่วงทั้งสองข้างและสาวให้พ้นรอก 1 รอบจากนั้นเวลาสาวไหมจะใช้มือทั้งสองข้างโดยมือหนึ่งสาวไหมจากรอกลงภาชนะที่รองรับเส้นไหมส่วนอีกมือหนึ่งถือไม้อันหนึ่งเรียกว่า "ไม้ขืน" ซึ่งมีลักษณะเป็นง่ามยาวประมาณ 1 ศอกเพื่อเพื่อใช้ในการกดและเขย่ารังไหมที่อยู่ในหม้อเพราะรังไหมที่อยู่ในหม้อนั้นจะลอยถ้าไม่กดการสาวไหมนี้ต้องหมั่นเติมน้ำเย็นลงไปเป็นระยะระวังอย่าให้น้ำถึงกับร้อนและเดือดและเขย่าก็จะเกาะกันแน่นสาวไม่ออกหรือออกมาในลักษณะที่เส้นไหมมีขนาดไม่สม่ำเสมอกันเครื่องสาวไหมทั้งหมดเรียกว่า "เครื่องพวงสาว" เครื่องมือในการสาวไหมประกอบด้วย1. เครื่องสาวไหมหรือพวงสาวคือรอกที่ใช้ดึงเส้นไหมออกจากหม้อ2. เตาไฟสำหรับต้มรังไหมอาจเป็นเตาถ่านหรือเตาที่ใช้ฟืนก็ได้3. หม้อสำหรับต้มรังไหมจะเป็นหม้อดินหรือหม้อเคลือบก็ได้ที่นิยมใช้หม้อนึ่งข้าวเหนียวเรียกว่าหม้อนึ่งเพราะมีขอบปากบานออกรับกับพวงสาวได้พอดี4. แปรงสำหรับชะรังไหมทำด้วยฟางข้าว5. ถังใส่น้ำเพื่อเอาไว้เติมน้ำในหม้อต้มเมื่อเวลาน้ำร้อนเดือด6. ไม้ขืนสำกรับเขี่ยรังไหมในหม้อให้เป็นไปตามต้องการและให้เส้นไหมผ่านขึ้นไปยังรอก7. กระบุงหรือตะกร้าสำหรับใส่เส้นไหม2. การฟอกไหม หลังจากที่สาวไหมจนหมดแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือต้องนำไหมที่ได้นั้นมาฟอกให้นิ่มและเป็นสีขาววิธีฟอกไหมชาวบ้านไม่ได้ใช้สารเคมีแต่จะใช้ของที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัวเช่นกาบกล้วยใบกล้วยต้นกล้วยผักโขมหนามต้นตังไก่น้อยงวงต้นตาลก้านตาลฝักหรือเปลือกเพกาฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งนำมาฝานให้บางผึ่งแดดให้แห้งและเผาไฟจนเป็นเถ้านำเถ้าที่ได้ไปแช่น้ำไว้ให้ตกตะกอนใช้เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใสนำไหมที่จะฟอกลงแช่โดยก่อนจะนำไหมลงแช่จะต้องทุบไหมให้อ่อนตัวเพื่อที่น้ำจะได้ซึมเข้าได้ง่ายแช่จนไหมนิ่มและขาวจึงนำไปผึ่งแดดให้แห้งหากไหมยังไม่สะอาดก็นำไปแช่ตามวิธีเดิมอีกจากนั้นการดึงไหมออกจากลุ่มไหมจะต้องทำโดยระมัดระวังไม่ให้พันกันเส้นไหมที่ฟอกแล้วจะอ่อนตัวลงเส้นนิ่ม3. การย้อมสีไหม สีไหมที่นิยมใช้ย้อมมี 2 สิ่งคือ3. 1 สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติได้จากต้นไม้ใช้ได้ทั้งใบเปลือกรากแก่นและผลชาวอีสานรู้จักการย้อมสีไหมให้ได้สีตามต้องการจากสีธรรมชาติมานานแล้วมีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควรเริ่มจากไปหาไม้ที่จะให้สีที่ต้องการซึ่งจะอยู่ในป่าเป็นส่วนไหญ่บางสีต้องการใช้ต้นไม้หลายชนิดทำให้ยุ่งยากเมื่อได้มาแล้วต้องมาสับมาซอยหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปต้มกรองเอาน้ำให้ได้มากตามต้องการแล้วจึงนำไปย้อมแต่ละครั้งสีจะแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนเดิมทีเดียวทำให้เกิดรอยด่างบนผืนผ้าได้ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมีเป็นส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดเพราะย้อมง่ายขั้นตอนที่ทำไม่ยุ่งยากซับซ้อนสีที่ได้สม่ำเสมอจะย้อมกี่ครั้ง ๆ ก็ได้สีเหมือนเดิมและสีติดทนนานมากกว่าสีจากธรรมชาติต้นไม้ที่นำย้อมแบบพื้นบ้านสีที่ย้อมจากธรรมชาติมีดังนี้1. สีแดงได้จากครั่งรากยอ2. สีน้ำเงินได้จากต้นคราม3. สีเหลืองได้จากแก่นขนุนขมิ้นชันแก่นเข4. สีเขียวได้จากเปลือกสมอและใบหูกวางใบเตย5. สีม่วงอ่อนได้จากลูกหว้า6. สีชมพูได้จากต้นฝางต้นมหากาฬ7. สีดำได้จากเปลือกสมอและลูกมะเกลือลูกระจาย8. สีส้มได้จากลูกสะตี (หมากชาตี)9. สีน้ำตาลแก่ได้จากจานแก่นอะลาง10. สีกากีแกมเขียวได้จากเปลือกเพกากับแก่นขนุน11. สีกากีแกมเหลืองได้จากหมากสงกับแก่นแกแล 3.2. สีย้อมวิทยาศาสตร์หรือสีสังเคราะห์มีส่วนผสมทางเคมีวิธีย้อมแต่ละครั้งจะใช้สัดส่วนของสีและสารเคมีที่แน่นอนสีที่ได้จากการย้อมแต่ละครั้งจะเหมือนกันแหล่งทอผ้าในปัจจุบันนิยมใช้สีย้อมวิทยาศาสตร์ ข้อมูลทั่วไป ก่อนจะมาเป็นผ้าไหม เครื่องมือเตรียมไหม เครื่องมือในการทอผ้า การทอผ้าไหม บ้าน
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ขั้นตอนการทำไหม


ก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจากผ่านกรรมวิธีการเลี้ยงไหมแล้วจนตัวไหมทำรังขั้นตอนต่อไปก็คือนำตัวไหมที่มีรังหุ้มอยู่มาต้มเพื่อที่จะนำใยที่หุ้มตัวไหมอยู่ออกมาในรูปของเส้นไหม ซึ่งมีกรรมวิธี ดังนี้


1. การสาวไหม
ทำได้โดยการต้มตัวไหม โดยใช้หม้อขนาดวัดโดยรอบประมาณ 25 นิ้ว ปากหม้อนั้นครอบด้วยไม้โค้งคล้ายห่วงของถังไม้และใช้ไม้ลักษณะแบนเจาะรูตรงกลางพาดระหว่างห่วงทั้งสองข้าง และเหนือไม้แบนๆ นี้ มีไม้รอกคล้ายจักรที่ให้หนูถีบ ซึ่งจักรมีลักษณะเป็นรูปกลมๆ จากนั้นเอาฝักไหมที่จะสาวใส่ลงไปในหม้อ ประมาณ 30 - 50 นาที ระหว่างที่รอให้คน ประมาณ 2 - 3 ครั้ง ให้รังไหม สุกทั่วกัน แล้วเอาแปรงชะรังไหมเบาๆ เส้นไหมก็จะติดแปรงขึ้นมา จึงนำมาสอดที่รูตรงกลางของไม้ระหว่างห่วงทั้งสองข้าง และสาวให้พ้นรอก 1 รอบ จากนั้นเวลาสาวไหม จะใช้มือทั้งสองข้าง โดยมือหนึ่งสาวไหมจากรอกลงภาชนะที่รองรับเส้นไหม ส่วนอีกมือหนึ่งถือไม้อันหนึ่งเรียกว่า "ไม้ขืน" ซึ่งมีลักษณะเป็นง่ามยาวประมาณ 1 ศอกเพื่อเพื่อใช้ในการกดและเขย่ารังไหมที่อยู่ในหม้อเพราะรังไหมที่อยู่ในหม้อนั้นจะลอยถ้าไม่กด และเขย่าก็จะเกาะกันแน่นสาวไม่ออก หรือออกมาในลักษณะที่เส้นไหมมีขนาดไม่สม่ำเสมอกัน เครื่องสาวไหมทั้งหมดเรียกว่า "เครื่องพวงสาว" การสาวไหมนี้ต้องหมั่นเติมน้ำเย็นลงไปเป็นระยะระวังอย่าให้น้ำถึงกับร้อนและเดือด
เครื่องมือในการสาวไหมประกอบด้วย
1. เครื่องสาวไหม หรือ พวงสาว คือ รอกที่ใช้ดึงเส้นไหมออกจากหม้อ
2. เตาไฟสำหรับต้มรังไหม อาจเป็นเตาถ่านหรือเตาที่ใช้ฟืนก็ได้
3. หม้อสำหรับต้มรังไหมจะเป็นหม้อดินหรือหม้อเคลือบก็ได้ ที่นิยมใช้หม้อนึ่งข้าวเหนียว เรียกว่าหม้อนึ่งเพราะมีขอบปากบานออกรับกับพวงสาวได้พอดี
4. แปรงสำหรับชะรังไหมทำด้วยฟางข้าว
5. ถังใส่น้ำ เพื่อเอาไว้เติมน้ำในหม้อต้มเมื่อเวลาน้ำร้อนเดือด
6. ไม้ขืน สำกรับเขี่ยรังไหมในหม้อให้เป็นไปตามต้องการและให้เส้นไหมผ่านขึ้นไปยังรอก
7. กระบุงหรือตะกร้า สำหรับใส่เส้นไหม


2. การฟอกไหม
หลังจากที่สาวไหมจนหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ ต้องนำไหมที่ได้นั้นมาฟอกให้นิ่มและเป็นสีขาว วิธีฟอกไหม ชาวบ้านไม่ได้ใช้สารเคมี แต่จะใช้ของที่หาง่ายอยู่ใกล้ตัว เช่น กาบกล้วย ใบกล้วย ต้นกล้วย ผักโขมหนาม ต้นตัง ไก่น้อย งวงต้นตาล ก้านตาล ฝักหรือเปลือกเพกา ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งนำมาฝานให้บาง ผึ่งแดดให้แห้ง และเผาไฟจนเป็นเถ้า นำเถ้าที่ได้ไปแช่น้ำไว้ให้ตกตะกอน ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใส นำไหมที่จะฟอกลงแช่โดยก่อนจะนำไหมลงแช่จะต้องทุบไหมให้อ่อนตัว เพื่อที่น้ำจะได้ซึมเข้าได้ง่าย แช่จนไหมนิ่มและขาว จึงนำไปผึ่งแดดให้แห้ง หากไหมยังไม่สะอาดก็นำไปแช่ตามวิธีเดิมอีก จากนั้นการดึงไหมออกจากลุ่มไหมจะต้องทำโดยระมัดระวังไม่ให้พันกัน เส้นไหมที่ฟอกแล้วจะอ่อนตัวลง เส้นนิ่ม


3. การย้อมสีไหม
สีไหมที่นิยมใช้ย้อมมี 2 ชนิด คือ
3. 1. สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติ ได้จากต้นไม้ ใช้ได้ทั้งใบ เปลือก ราก แก่นและผล ชาวอีสานรู้จักการย้อมสีไหมให้ได้สีตามต้องการ จากสีธรรมชาติมานานแล้ว มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควรเริ่มจากไปหาไม้ที่จะให้สีที่ต้องการ ซึ่งจะอยู่ในป่าเป็นส่วนไหญ่ บางสีต้องการใช้ต้นไม้หลายชนิด ทำให้ยุ่งยาก เมื่อได้มาแล้วต้องมาสับมาซอย หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำไปต้มกรองเอาน้ำให้ได้มากตามต้องการ แล้วจึงนำไปย้อมแต่ละครั้งสีจะแตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนเดิมทีเดียว ทำให้เกิดรอยด่างบนผืนผ้าได้ ปัจจุบันจึงนิยมใช้สีเคมีเป็นส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด เพราะย้อมง่าย ขั้นตอนที่ทำไม่ยุ่งยากซับซ้อนสีที่ได้สม่ำเสมอ จะย้อมกี่ครั้งๆ ก็ได้สีเหมือนเดิมและสีติดทนนานมากกว่าสีจากธรรมชาติ ต้นไม้ที่นำย้อมแบบพื้นบ้าน สีที่ย้อมจากธรรมชาติ มีดังนี้
1. สีแดง ได้จาก ครั่ง รากยอ
2. สีน้ำเงิน ได้จาก ต้นคราม
3. สีเหลือง ได้จาก แก่นขนุน ขมิ้นชัน แก่นเข
4. สีเขียว ได้จาก เปลือกสมอและใบหูกวาง ใบเตย
5. สีม่วงอ่อน ได้จาก ลูกหว้า
6. สีชมพู ได้จาก ต้นฝาง ต้นมหากาฬ
7. สีดำ ได้จาก เปลือกสมอ และลูกมะเกลือ ลูกระจาย
8. สีส้ม ได้จากลูกสะตี (หมากชาตี)
9. สีน้ำตาลแก่ ได้จาก จานแก่นอะลาง
10. สีกากีแกมเขียว ได้จาก เปลือกเพกากับแก่นขนุน
11. สีกากีแกมเหลือง ได้จาก หมากสงกับแก่นแกแล
3.2. สีย้อมวิทยาศาสตร์ หรือสีสังเคราะห์ มีส่วนผสมทางเคมีวิธีย้อมแต่ละครั้ง จะใช้สัดส่วนของสี และสารเคมีที่แน่นอนสีที่ได้จากการย้อมแต่ละครั้งจะเหมือนกัน แหล่งทอผ้าในปัจจุบันนิยมใช้สีย้อมวิทยาศาสตร์






ข้อมูลทั่วไป

ก่อนจะมาเป็นผ้าไหม

เครื่องมือเตรียมไหม

เครื่องมือในการทอผ้า



การทอผ้าไหม




HOME
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ขั้นตอนการทำไหม


ก่อนที่จะทอผ้าไหมต้องมีขั้นตอนการเตรียมไหมก่อนทอหลังจากผ่านกรรมวิธีการเลี้ยงไหมแล้วจนตัวไหมทำรังขั้นตอนต่อไปก็คือนำตัวไหมที่มีรังหุ้มอยู่มาต้มเพื่อที่จะนำใยที่หุ้มตัวไหมอยู่ออกมาในรูปของเส้นไหมดังนี้


1 การสาวไหม
ทำได้โดยการต้มตัวไหมโดยใช้หม้อขนาดวัดโดยรอบประมาณ 25 นิ้วปากหม้อนั้นครอบด้วยไม้โค้งคล้ายห่วงของถังไม้และใช้ไม้ลักษณะแบนเจาะรูตรงกลางพาดระหว่างห่วงทั้งสองข้างและเหนือไม้แบนๆนี้ซึ่งจักรมีลักษณะเป็นรูปกลมๆ จากนั้นเอาฝักไหมที่จะสาวใส่ลงไปในหม้อ ประมาณ 30 - 50 นาที ระหว่างที่รอให้คน ประมาณ 2 - 3 ครั้ง ให้รังไหม สุกทั่วกัน แล้วเอาแปรงชะรังไหมเบาๆ เส้นไหมก็จะติดแปรงขึ้นมา และสาวให้พ้นรอก 1 a research note จากนั้นเวลาสาวไหมจะใช้มือทั้งสองข้างโดยมือหนึ่งสาวไหมจากรอกลงภาชนะที่รองรับเส้นไหมส่วนอีกมือหนึ่งถือไม้อันหนึ่งเรียกว่า " ไม้ขืน " ซึ่งมีลักษณะเป็นง่ามยาวประมาณ 1และเขย่าก็จะเกาะกันแน่นสาวไม่ออก หรือออกมาในลักษณะที่เส้นไหมมีขนาดไม่สม่ำเสมอกัน เครื่องสาวไหมทั้งหมดเรียกว่า "เครื่องพวงสาว"
เครื่องมือในการสาวไหมประกอบด้วย
1 เครื่องสาวไหมค็อคพวงสาวความรอกที่ใช้ดึงเส้นไหมออกจากหม้อ
2 เตาไฟสำหรับต้มรังไหมอาจเป็นเตาถ่านหรือเตาที่ใช้ฟืนก็ได้
3หม้อสำหรับต้มรังไหมจะเป็นหม้อดินหรือหม้อเคลือบก็ได้ที่นิยมใช้หม้อนึ่งข้าวเหนียวเรียกว่าหม้อนึ่งเพราะมีขอบปากบานออกรับกับพวงสาวได้พอดี
4 แปรงสำหรับชะรังไหมทำด้วยฟางข้าว
5 ถังใส่น้ำ เพื่อเอาไว้เติมน้ำในหม้อต้มเมื่อเวลาน้ำร้อนเดือด
6. ไม้ขืน สำกรับเขี่ยรังไหมในหม้อให้เป็นไปตามต้องการและให้เส้นไหมผ่านขึ้นไปยังรอก
7. กระบุงหรือตะกร้า สำหรับใส่เส้นไหม


2. การฟอกไหม
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: