1) ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในทุกสังคมต้องมีชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งแยกเป็นสองทฤษฎีย่อย คือ หนึ่ง ชนชั้นผู้ปกครองเป็นความจำเป็นในการจัดองค์กร ไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือใหญ่ สุดท้ายอำนาจบริหารจัดการขึ้นกับคนเพียงไม่กี่คนทั้งนั้น โดยคนที่มีโอกาสมากในการเข้ามาจัดองค์กร โดยทั่วไปคือคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงหรือมีคุณสมบัติเด่นบางอย่าง สอง ชนชั้นผู้ปกครองในฐานะการสมคบกันขึ้นสู่อำนาจ อธิบายว่าผู้ปกครองเป็นคนพิเศษ ซึ่งกระหายอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจ ดังนั้นประชาธิปไตยในฐานะที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วมจึงเป็นไปไม่ได้
2) ประชาธิปไตยเป็นไปได้ แต่ไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา กลุ่มนี้มองว่าถ้าจะเอาคนที่จะเป็นผู้ปกครอง ต้องเอาคนที่ดีที่สุด ไม่เอาคนธรรมดา ดังนั้น กลุ่มนี้จะโยงกับความคิดเรื่องอภิสิทธิชน ซึ่งเป็นทฤษฎีเก่าแก่ สืบสายจากสมัยเพลโตที่มองว่า ประชาธิปไตยที่มองว่าทุกคนเท่าเทียมกันเป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะธรรมชาติจัดให้คนไม่เท่ากัน ทุกสิ่งมีตำแหน่งแห่งที่ในลำดับชั้นอยู่แล้ว ประชาธิปไตยคือการทอนให้ทุกอย่างลงมาเท่ากันหมด มองที่ปริมาณอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ ยังไม่ต้องพูดว่าที่บอกว่าคนเท่ากันนั้นเท่ากันตรงไหน เราเห็นความไม่เท่ากันมากกว่าที่เท่ากัน
เพราะฉะนั้น กว่าที่ประชาธิปไตยจะพัฒนามาได้ ต้องใช้ความพยายาม มีพัฒนาการความคิดที่ยาวนาน ข้อกล่าวหาทั้งหลายเหล่านี้ยังมีอิทธิพลมากในสังคมไทย และยิ่งมีการพูดถึง "มวลมหาประชาชน" มากขึ้น ก็ยิ่งน่าหวาดเสียวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาเมื่อเกิดศาสนาคริสต์ ทำให้คู่ต่อสู้เปลี่ยน ไม่ใช่แบบที่เพลโตบอกว่าเป็นคนที่รู้กับไม่รู้ แต่เป็นระหว่างพระมหากษัตริย์และพระ กับฝ่ายที่นับถือศาสนาคริสต์แต่ไม่ยอมรับอำนาจกษัตริย์ โดยกษัตริย์อิงคำสอนศาสนาคริสต์ อ้างว่าได้รับอำนาจพิเศษจากพระเจ้า คนทั่วไปมีหน้าที่เชื่อฟังกษัตริย์ กษัตริย์จะทำดีหรือชั่วก็ไปรับผิดชอบต่อพระเจ้าเอง
กรณีนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็อิงศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยกันทั้งคู่ พิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้