เด็กเลี้ยงควายกับต้นไทร
ก่วยเกิดในครอบครัวยากจน เขาไม่ได้เรียนหนังสือ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเป็นเด็กเลี้ยงควายให้ชาวนาร่ำรวยคนหนึ่ง ทุกวันเขาจะจูงควายไปเลี้ยงในนาข้าว เตรียมอาหารหมู และไปเก็บฟืนในป่า โดยชาวนาจะให้อาหาร เสื้อผ้า และเงินสำหรับพอประทังชีวิตตอบแทน
วันหนึ่งขณะเก็บฟืนในป่าไกลบ้าน ก่วยพบลูกเสือตัวหนึ่งเล่นอยู่กลางแจ้ง เขาอุ้มลูกเสือขึ้นมาเล่น ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงคำรามน่ากลัวดังออกมาจากกอไม้ใกล้ๆ เป็นเสียงของแม่เสือ นางปล่อยลูกไว้ชั่วคราวเพื่อไปหาอาหาร ก่วยโยนลูกเสือลงกับพื้นและรีบปีนขึ้นไปซ่อนบนต้นไม้ด้วยความกลัว ครู่ต่อมา เสียงแม่เสือก็ดังอยู่ใต้ต้นไม้ นางคำรามอย่างดุร้ายเมื่อเห้นร่างแน่นิ่งของลูก ซึ่งก่วยเผลอโยนกระแทกพื้นอย่างแรงจนตาย
ก่วยกลั้นหายใจอยู่บนต้นไม้เพราะคาดว่าสิ่งเลวร้ายคงเกิดขึ้นกับตนแน่นอน แต่แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นแทน แม่เสือเดินไปใกล้ลำธารและเก็บใบของต้นไทร มันเคี้ยวใบจนแหลกเป็นเยื่อแล้วเอาไปทาหัวของลูก ทันใดนั้นเสือน้อยก็กระโดลุกขึ้นวิ่งไปมาได้ราวกับไม่มีอะไรเกินขึ้น
เมื่อแม่เสือและลูกจากไป ก่วยลงมาจากที่หลบภัยและไปที่ต้นไทรวิเศษนั้น เก็บใบกลับบ้านมาหนึ่งกำมือ ระหว่างทางมีสนุขตายนอนอยู่ข้างทาง ก่วยจึงเคี้ยวใบไม้ให้แหลกเป็นเยื่อตามที่เสือทำแล้วนำไปทาหัวสุนัข ในไม่กี่นาทีเจ้าสุนัขตัวนั้นก็คืนชีวิตขึ้นมา กระโดดลุกขึ้นวิ่งหนีไป ก่วยจึงรู้ว่าใบของต้นไทรมีฤทธิ์มหัศจรรย์ช่วยคืนชีพคนตาย ก่วยถอนต้นไทรนั้นลากกลับบ้านมาปลูกไว้กลางสนาม เขาเตือนแม่ไม่ให้เทขยะหรือน้ำสกปรกตรงที่ที่เขาปลูกต้นไม้
“ไม่อย่างนั้น” เขาพูกติดตลก “ต้นไม้จะบินหนีไปสู่ฟ้า”
แม่ของก่วยไม่สนใจคำเตือนนี้และยังเทขยะตรงที่ลูกชายห้าม วันหนึ่งต้นไม้เริ่มถอนตัวเองขึ้นจากดินช้าๆ และบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
อย่างน้อยมุกตลกของก่วยก็เป็นจริง
เมื่อกลับมาจากงาน ก่วยเห็นต้นไม้ลอยขึ้นจึงออกวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วและคว้ารากไว้ได้ ทว่าตัวเขาไม่หนักพอจะดึงต้นไม้ลงมา เขาจึงลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย
หลังจากเดินทางหลายวัน ก่วยและต้นไทรลอยไปถึงโลกใหม่ซึ่งสงบเงียบ ที่นั่นคือดวงจันทร์ ก่วยปลูกต้นไทรที่นั่นและนั่งคิดหาทางกลับบ้าน แต่ก็ไม่มีคำตอบ เขานั่งรออยู่บนดวงจันทร์นั้นปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งทุกวันนี้
เด็กๆเวียดนามพูดว่าในบางคืนพวกเขาเห็นก่วยนั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่โคนต้นไทร บนส่วนโค้งของดวงจันทร์ และยืนยันว่าบางครั้งก่วยยังหันมายิ้มให้พวกเขาด้วย