สิงคโปร์ก็ได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด เนื่องจากกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่านำเข้าเป็นการนำเข้าเพื่อส่งออกต่อ รวมถึงการส่งออกสินค้าที่ผลิตในสิงคโปร์ก็เพิ่มขึ้นด้วย ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 การค้าระหว่างประเทศของสิงคโปร์มีมูลค่า 407.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการส่งออก 218.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.5 ในจำนวนนี้เป็นสินค้าที่ผลิตในสิงคโปร์ 113.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 52 ของมูลค่าส่งออกรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ขณะที่นำเข้า 189.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 แต่เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศเพียง 84.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ทำให้สิงคโปร์ได้เปรียบดุลการค้า 29.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เป้าหมายหลักของนโยบายการค้าของสิงคโปร์ คือ การขยายฐานทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจของคนสิงคโปร์ในตลาดต่างประเทศ การพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เป็นธรรมและคาดการณ์ล่วงหน้าได้ และการลดข้อจำกัดในการนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความโปร่งใสของกฎระเบียบและการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น โดยในปี 2556 สิงคโปร์ถูกจัดอันดับโดยองค์กรด้านความโปร่งใสระหว่างประเทศ (Transparency International: TI) ให้เป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก จาก 176 ประเทศ รองจากเดนมาร์ก ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ และสวีเดน และเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ซึ่งมีลักษณะเด่นในเรื่องการมีระบบกฎหมายที่เหมาะสม ความสม่ำเสมอในการดำเนินงานตามกฎหมาย และการเข้าถึงข้อมูลและหน่วยงานภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ผลจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันสิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสรีด้านการค้าและการลงทุน ทั้งยังมีความง่ายในการทำธุรกิจมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี สิงคโปร์ยังถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีช่องว่างของรายได้สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จาก 42 ประเทศที่มีการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์สูง (ตามดัชนีของ UNDP ในปี 2553) ทั้งยังกำลังเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ
ด้านการค้าสินค้า สิงคโปร์สนับสนุนระบบการค้าเสรี โดยได้มีการลงนามและอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค รวม 18 ฉบับ ครอบคลุมประเทศสมาชิก 24 ประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้นโยบายการค้าเสรีของสิงคโปร์ ปัจจุบันสิงคโปร์มีภาษีนำเข้าสินค้าเกือบทุกรายการเป็นร้อยละ 0 (ยกเว้น 6 รายการ เช่น เบียร์ และเครื่องดื่มแอกอฮอล์) แม้ว่ายังมีการห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการด้วยเหตุผลส่วนใหญ่ด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับข้อผูกพันระหว่างประเทศของสิงคโปร์ เช่น หมากฝรั่ง และรถยนต์ใช้แล้วนานกว่า 3 ปี สำหรับการนำเข้าข้าว สิงคโปร์มีการบริหารจัดการการนำเข้าผ่านการดำเนินยุทธศาสตร์การสำรองข้าวเพื่อตอบสนองความมั่นคงด้านอาหาร โดยมีการใช้มาตรการขอใบอนุญาตนำเข้าจาก International Enterprise Singapore (IE Singapore) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้มีปริมาณข้าวสำรองในปริมาณเทียบเท่ากับ 2 เดือนของการนำเข้า
ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า สิงคโปร์ได้นำระบบ Single Window มาใช้ในพิธีการศุลกากรซึ่งช่วยให้ผู้ทำการค้าสามารถยื่นเอกสารการนำเข้า-ส่งออก ณ จุดเดียว ผ่านทางเว็ปไซต์ โดยเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ ทำให้ผู้ทำการค้าสามารถผ่านพิธีการศุลกากรได้ภายในเวลาประมาณ 10 นาที
ด้านการลงทุน สิงคโปร์ถือเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนขาออกสุทธิ คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 20.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ในช่วงปี 2550-2554 ขณะเดียวกัน ยังเป็นประเทศผู้รับการลงทุนที่สำคัญของโลก โดยนับตั้งแต่ปี 2550 มีเงินลงทุนไหลเข้าประเทศเฉลี่ยปีละเกือบ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากสิงคโปร์มีข้อจำกัดด้านการลงทุนน้อยมาก แม้ว่ายังคงมีอยู่ในบางสาขา เช่น สื่อสารมวลชน บริการด้านกฎหมาย และธนาคารพาณิชย์ ในแง่สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน สิงคโปร์ให้สิทธิประโยชน์ทั้งด้านภาษีและที่มิใช่ภาษีแก่นักลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการออกไปลงทุนของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ ส่งเสริมการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาและการฝึกอบรม และเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรจากภายนอก ขณะเดียวกัน ยังให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคและระดับโลกในสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเพื่อเสริมสร้างให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางด้านบริการ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของสิงคโปร์มุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้ความเชี่ยวชาญและความรู้เข้มข้น อาทิ การจัดโครงการฝึกอบรมบุคลากรท้องถิ่นให้มีทักษะและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมตามความต้องการของงาน
ด้านบริการ ถือเป็นสาขาที่มีความสำคัญที่สุดของสิงคโปร์ โดยมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากกว่า 2 ใน 3 และมีการจ้างงานประมาณร้อยละ 70 ของแรงงานทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วงปี 2550-2554 สาขาบริการที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ การเงินและการประกันภัย บริการธุรกิจ บริการด้านที่พักและอาหาร การค้าส่งและปลีก การขนส่งและโกดัง ขณะที่สาขาที่มีความเข้มแข็ง คือ การเงินและธนาคาร โดยมีจุดแข็งด้านความยืดหยุ่นต่อวิกฤตการณ์ทางการเงิน ซึ่งส่งผลให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ การมีมาตรฐานด้านกฎระเบียบสูง รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ และการมีบุคลากรทางด้านการเงินที่มีศักยภาพ