Public choice theory, also known as

Public choice theory, also known as political economics, is the study of the economics of political behavior — how economic incentives and consequences affect voters, legislators, and bureaucrats. The democratic process is one in which, supposedly, the preferences of the public are expressed through elected representatives.

Public choice theory illustrates some scenarios where a majority vote would actually lower the benefit-to-tax ratio or where projects may be selected that have a higher cost over benefits for the economy as a whole. These inefficient outcomes are usually the result of the fact that people vote in their own interest, so even if a project yields a great benefit to a certain group but a small expense to the rest of the people, they will probably vote against it anyway. For instance, according to recent polls, most people are against the Patient Protection and Affordable Care Act (also known as Obamacare), which is a program to provide health insurance for most of the uninsured. Although the uninsured would greatly benefit from the national health insurance, most people were against it, according to polls, because they already have health insurance, and they were afraid of changing the status quo for fear that they might lose what they have or that they might be taxed more.

Of course, the benefit of most government projects cannot be ascertained accurately beforehand nor would individual taxpayers know of the exact cost to them, so public choice theory is really an abstract scenario, but it can show how allowing the public to choose may not yield the best results for the economy as a whole.

Public goods differ from private goods in that the exact benefit and cost to each individual is unknown, while the benefit and cost of a private good to an individual is certainly knowable to the individual.

Consider 3 taxpayers Wilma, George, and Peter. If a project would provide $1000 worth of value to Wilma, $500 to George, $400 to Peter, and this benefit can be obtained by taxing each $500, then the benefit to each of the 3 taxpayers would be $1900. But the tax would only be $1500, so the net benefit to the 3 taxpayers would be $400. However, since people generally vote in their own interest, Peter and George probably would not vote for the tax to provide the benefit, since they would not be the main beneficiaries. Alternatively, if Peter and George would gain $600 worth of benefit from a project but Wilma gained only $100 from the project, but each would have to pay a tax of $500, then George and Peter would probably vote for the project even though it would cost Wilma more than George and Peter would benefit. Thus, the total cost to this economy would be $200 greater than the benefit.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ เศรษฐศาสตร์การเมืองหรือที่เรียกว่า เป็นการศึกษาเศรษฐศาสตร์ของพฤติกรรมทางการเมือง — วิธีการแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อผู้ลงคะแนน กรอบนโยบาย และ bureaucrats การ กระบวนการประชาธิปไตยเป็นหนึ่งในการ คาดคะเน ลักษณะของประชาชนที่แสดงผ่านตัวแทนที่ได้รับเลือก ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะแสดงบางสถานการณ์ที่เสียงส่วนใหญ่จะลดอัตราภาษีเพื่อสวัสดิการจริงหรือที่อาจจะเลือกโครงการที่มีต้นทุนสูงกว่าผลประโยชน์เศรษฐกิจทั้งหมด ผลเหล่านี้ต่ำมักจะเป็นผลของข้อเท็จจริงที่ผู้ลงคะแนนเสียงในการสนใจของตนเอง แม้แต่หากโครงการก่อให้เกิดประโยชน์เป็นกลุ่มที่แน่นอนแต่ค่าใช้จ่ายขนาดเล็กของคน พวกเขาจะคงเสียงกับมันต่อไป เช่น ตามสำรวจล่าสุด คนส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองผู้ป่วยและราคาไม่แพงดูแลพระราชบัญญัติ (เรียกอีกอย่างว่า Obamacare), ซึ่งเป็นโปรแกรมให้บริการประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่มีประกัน แม้ว่าจะไม่มีประกันอย่างมากจะได้ประโยชน์จากการประกันสุขภาพแห่งชาติ คนส่วนใหญ่ได้จาก ตามสำรวจ เพราะพวกเขามีประกันสุขภาพ และพวกเขากลัวการเปลี่ยนแปลงสภาพตัว fear ที่พวกเขาอาจสูญเสียสิ่งที่พวกเขาได้ หรือว่า พวกเขาอาจจะคิดภาษีมากขึ้นแน่นอน ประโยชน์ของโครงการรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถ ascertained อย่างถูกต้องไว้ล่วงหน้า หรือจะผู้เสียภาษีแต่ละรู้ต้นทุนแน่นอนพวกเขา ดังนั้นทฤษฎีทางเลือกสาธารณะเป็นสถานการณ์ที่เป็นนามธรรม แต่มันสามารถแสดงวิธีให้ประชาชนเลือกอาจไม่ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจโดยรวมสินค้าสาธารณะแตกต่างจากสินค้าเอกชนที่ประโยชน์แน่นอนและต้นทุนแต่ละคนไม่รู้จัก ประโยชน์และต้นทุนของดีส่วนตัวบุคคลเป็น knowable แน่นอนกับบุคคลพิจารณาผู้เสียภาษี 3 Wilma จอร์จ และปีเตอร์ ถ้าโครงการจะให้ $1000 มูลค่ามูลค่า Wilma กับจอร์จ $500, $400 กับปีเตอร์ และสามารถได้รับประโยชน์นี้ โดย taxing ละ $500 แล้วประโยชน์ของผู้เสียภาษี 3 จะเป็น $1900 แต่ภาษีเฉพาะจะ $1500 ดังนั้นประโยชน์ผู้เสียภาษี 3 สุทธิจะไม่ $400 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคนลงคะแนนเสียงในการสนใจของตนเองโดยทั่วไป ปีเตอร์และจอร์จคงจะไม่สามารถลงคะแนนสำหรับภาษีการให้สวัสดิการ เนื่องจากพวกเขาจะไม่รับผลประโยชน์หลักการ หรือ ถ้าปีเตอร์และจอร์จจะได้รับ $600 คุ้มค่าของผลประโยชน์จากโครงการ Wilma เพียง $100 จากโครงการที่ได้รับ แต่ละจะต้องจ่ายภาษี $ 500 แล้วจอร์จและปีเตอร์จะคงเสียงสำหรับโครงการแม้ว่ามันจะมีต้นทุน Wilma จอร์จมากกว่า และปีเตอร์จะได้รับประโยชน์ ดังนั้น ต้นทุนรวมเศรษฐกิจนี้จะได้ $200 มากกว่าประโยชน์

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะยังเป็นที่รู้จักเศรษฐศาสตร์การเมืองคือการศึกษาของเศรษฐกิจของพฤติกรรมทางการเมือง - วิธีการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและผลกระทบที่ส่งผลกระทบต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและข้าราชการ กระบวนการประชาธิปไตยซึ่งเป็นหนึ่งในคาดคะเนความต้องการของประชาชนที่มีการแสดงออกผ่านการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร. ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะแสดงให้เห็นถึงบางสถานการณ์ที่คะแนนเสียงข้างมากจริงจะลดอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อภาษีหรือที่โครงการอาจจะเลือกที่มี ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นกว่าผลประโยชน์ของเศรษฐกิจโดยรวม ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพมักจะมีผลมาจากความเป็นจริงที่ว่าคนลงคะแนนเสียงในความสนใจของตนเองดังนั้นแม้ว่าโครงการที่มีผลเป็นประโยชน์ที่ดีในบางกลุ่ม แต่ค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือเล็ก ๆ ของคนที่พวกเขาอาจจะไม่ลงคะแนนเสียงให้มันอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นตามโพลล์ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่กับการคุ้มครองผู้ป่วยและพระราชบัญญัติการดูแลราคาไม่แพง (ยังเป็นที่รู้จัก Obamacare) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะให้การประกันสุขภาพสำหรับส่วนมากของการประกันภัย แม้ว่าการประกันภัยมากจะได้รับประโยชน์จากการประกันสุขภาพแห่งชาติที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมันตามไปเลือกตั้งเพราะพวกเขามีการประกันสุขภาพและพวกเขาก็กลัวของการเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่เพราะกลัวว่าพวกเขาอาจจะสูญเสียสิ่งที่พวกเขามีหรือที่พวกเขา อาจจะมีการเก็บภาษีมากขึ้น. แน่นอนว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่โครงการของรัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างถูกต้องก่อนหรือจะเสียภาษีแต่ละรู้ของค่าใช้จ่ายที่แน่นอนให้กับพวกเขาทฤษฎีทางเลือกของประชาชนเพื่อให้เป็นจริงสถานการณ์นามธรรม แต่ก็สามารถแสดงให้เห็นว่าการอนุญาตให้ประชาชนไป เลือกไม่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม. สินค้าสาธารณะที่แตกต่างจากสินค้าที่ภาคเอกชนในการที่จะได้รับประโยชน์ที่แน่นอนและค่าใช้จ่ายในแต่ละบุคคลไม่เป็นที่รู้จักในขณะที่ผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายของภาคเอกชนที่ดีในแต่ละแน่นอน knowable ไป ของแต่ละบุคคล. พิจารณา 3 ผู้เสียภาษีวิล, จอร์จและปีเตอร์ หากโครงการที่จะให้ $ 1000 มูลค่าของมูลค่าให้กับวิล, $ 500 ถึงจอร์จ $ 400 ถึงปีเตอร์และผลประโยชน์นี้สามารถหาได้โดยเดินทางโดยรถแท็กซี่แต่ละ $ 500 แล้วผลประโยชน์ให้กับแต่ละ 3 ผู้เสียภาษีจะเป็น $ 1,900 แต่ภาษีจะอยู่ที่ $ 1,500 ดังนั้นผลประโยชน์สุทธิ 3 ผู้เสียภาษีจะเป็น $ 400 แต่เนื่องจากคนทั่วไปลงคะแนนเสียงในความสนใจของตนเองปีเตอร์และจอร์จอาจจะไม่ลงคะแนนเสียงให้ภาษีเพื่อให้ได้รับประโยชน์เนื่องจากพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์หลัก หรือถ้าปีเตอร์และจอร์จจะได้รับ $ 600 มูลค่าของการได้รับประโยชน์จากโครงการ แต่วิลได้รับเพียง $ 100 โครงการ แต่แต่ละคนจะต้องจ่ายภาษีของ $ 500 แล้วจอร์จและปีเตอร์อาจจะออกเสียงลงคะแนนสำหรับโครงการแม้ว่ามันจะเสียค่าใช้จ่าย วิลมากกว่าจอร์จและปีเตอร์จะได้รับประโยชน์ ดังนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับเศรษฐกิจนี้จะเป็น $ 200 มากกว่าผลประโยชน์

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ หรือที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ การเมือง คือ การศึกษาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ทางการเมืองว่าสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง , สมาชิกสภานิติบัญญัติและเจ้าหน้าที่ เป็นหนึ่งในกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งแปลว่า ความต้องการของประชาชนที่แสดงผ่านผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้ง .

ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์บางอย่างที่เสียงส่วนใหญ่จะลดประโยชน์ต่อภาษีหรือที่โครงการอาจจะเลือกได้ว่ามีต้นทุนที่สูงกว่าผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ผลไม่มีประสิทธิภาพเหล่านี้มักจะเป็นผลของข้อเท็จจริงว่า โหวตคนในความสนใจของตนเองดังนั้นแม้ว่าโครงการที่ให้ผลประโยชน์ที่ดีกลุ่มหนึ่งแต่เป็นค่าใช้จ่ายเล็ก ๆส่วนที่เหลือของผู้คน พวกเขาอาจจะลงคะแนนกับมันอยู่ดี ตัวอย่าง ตามโพลล์ล่าสุด คนส่วนใหญ่จะต่อต้านการคุ้มครองผู้ป่วยและพระราชบัญญัติการดูแลราคาไม่แพง ( เรียกว่า Obamacare ) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะให้การประกันสุขภาพสำหรับส่วนมากของไม่มีประกันแม้ว่าไม่มีประกันจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนส่วนใหญ่คัดค้าน ตามโพลล์ เพราะพวกเขามีประกันสุขภาพ และพวกเขากลัวการเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะสูญเสียสิ่งที่พวกเขาหรือพวกเขาอาจจะเก็บภาษีได้มากขึ้น

แน่นอนประโยชน์ของโครงการรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างถูกต้องล่วงหน้าหรือผู้เสียภาษีบุคคลรู้ต้นทุนที่แน่นอนได้ ดังนั้นทฤษฎีทางเลือกเป็นของสาธารณะจริง ๆ สถานการณ์ที่เป็นนามธรรม แต่ก็สามารถแสดงวิธีการที่อนุญาตให้ประชาชนที่จะเลือกไม่อาจผลผลิตผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจทั้งหมด

สินค้าสาธารณะแตกต่างจากสินค้าเอกชน ที่ได้รับประโยชน์แน่นอน และค่าใช้จ่ายในแต่ละคน ไม่รู้จัก ในขณะที่ผลประโยชน์และการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่ดีกับบุคคลอย่างแน่นอนที่เรียนรู้ได้ในแต่ละคน

พิจารณา 3 ผู้เสียภาษี Wilma จอร์จ และปีเตอร์ ถ้าโครงการจะให้ $ 1000 มูลค่าของค่าวิล , $ 500 กับจอร์จ $ 400 กับปีเตอร์ และประโยชน์นี้สามารถหาได้โดย taxing แต่ละ $ 500 ,แล้วต่อแต่ละ 3 ผู้เสียภาษีจะเป็น $ 1900 แต่ภาษีจะอยู่ที่ 1500 บาท ดังนั้นผลตอบแทนสุทธิที่ 3 ผู้เสียภาษีจะได้รับ $ 400 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประชาชนทั่วไปโหวตในความสนใจของตัวเอง ปีเตอร์และจอร์จอาจจะไม่โหวตให้ภาษีที่ให้ประโยชน์ เนื่องจากพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์หลัก อีกวิธีหนึ่งคือถ้า ปีเตอร์ และ จอร์จ จะได้รับมูลค่า $ 600 จากผลประโยชน์จากโครงการ แต่วิลได้รับเพียง $ 100 จากโครงการ แต่แต่ละคนจะต้องจ่ายภาษีของ $ 500 แล้ว จอร์จ และ ปีเตอร์ อาจจะโหวตให้โครงการแม้ว่าจะเสียวิลมากกว่า จอร์จ และ ปีเตอร์ จะได้รับประโยชน์ ดังนั้นต้นทุนรวมของเศรษฐกิจนี้จะเป็น $ 200 มากกว่าประโยชน์ .