แม่น้ำโขงที่ทอดตัวไหลเรื่อยมาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน ไหลผ่านประเทศพม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม ระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร มีปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดหนองคายคือ ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะเกิดปรากฏการณ์ มีลูกไฟพุ่งขึ้นจากผิวน้ำสู่อากาศแล้วดับหายไป ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “บั้งไฟพญานาค”
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง เฉพาะช่วงจังหวัดหนองคาย จากการเล่าขานสืบต่อกันมาแต่ครั้งปู่ย่าตายายว่า ในแม่น้ำโขงมีเทพเจ้าทางน้ำเรียกว่าพญานาคอาศัยอยู่.
ในแต่ละปีจะมีผู้คนเสียชีวิตในแม่น้ำโขงจำนวนไม่น้อย ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะการกระทำของเทพเจ้าทางน้ำ จึงได้สร้างศาลเจ้าแม่สองนาง (เทพเจ้านางน้ำ) ขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อเซ่นไหว้ บวงสรวงให้ปกป้องคุ้มครอง มิให้ประสบภัยอันตรายและเกิดสิริมงคล แก่ผู้คนที่ประกอบอาชีพทางน้ำเป็นประจำทุกปี ดังปรากฎมีศาลเจ้าแม่สองนาง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่อำเภอเมืองหนองคาย, อำเภอโพนพิสัย, อำเภอบึงกาฬ เป็นต้น.
ในวันออกพรรษาของทุกปี เชื่อกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้า จะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลับสู่โลกมนุษย์ เหล่าบรรดาพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำโขงต่างแสดงความยินดีปรีดา ด้วยการจุดบั้งไฟเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นพุทธบูชา จึงปรากฏให้เห็นเป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นจากผิวน้ำ ชาวบ้านเชื่อกันว่า เป็น “บั้งไฟพญานาค”
เชื่อกันว่า พญานาคเป็นเทพหรือเทวดาจำพวกหนึ่ง รูปร่างคล้ายงูใหญ่ มีฤทธิ์มากสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ เป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรม ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล.
บั้งไฟพญานาค หรือชื่อที่เรียกกันในก่อนปี พ.ศ. 2529 ว่า บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขง เห็นได้จากทั้งฝั่งไทยและลาว ลักษณะเป็นลูกกลมเรืองแสงลอยขึ้นจากน้ำขึ้นไปในอากาศ บั้งไฟพญานาคเกิดช่วงวันออกพรรษาของแต่ละปี อีกทั้งบั้งไฟพญานาคยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด แต่มีคำอธิบายสามแนวทาง คือ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตามตำนาน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นการกระทำของมนุษย์.
เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้.
ไหลผ่านประเทศพม่า, ไทย, ลาว, เวียดนามระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือแรม 1 ค่ำเดือน 11 จะเกิดปรากฏการณ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า
เฉพาะช่วงจังหวัดหนองคาย
จึงได้สร้างศาลเจ้าแม่สองนาง (เทพเจ้านางน้ำ) ขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อเซ่นไหว้บวงสรวงให้ปกป้องคุ้มครอง ดังปรากฎมีศาลเจ้าแม่สองนางอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่อำเภอเมืองหนองคาย, อำเภอโพนพิสัย, อำเภอบึงกาฬเป็นต้น.
ในวันออกพรรษาของทุกปีเชื่อกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กลับสู่โลกมนุษย์ ด้วยการจุดบั้งไฟเฉลิมฉลองเพื่อเป็นพุทธบูชา ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "บั้งไฟพญานาค"
เชื่อกันว่าพญานาคเป็นเทพหรือเทวดาจำพวกหนึ่งรูปร่างคล้ายงูใหญ่ เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมปรารถนาในการบำเพ็ญทานอาศัยอยู่ในเมืองบาดาล.
บั้งไฟพญานาคหรือชื่อที่เรียกกันในก่อนปี พ.ศ. 2529 ว่าบั้งไฟผี เห็นได้จากทั้งฝั่งไทยและลาว แต่มีคำอธิบายสามแนวทางคือ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ได้กล่าวไว้ว่า เลิกนิสัยดุร้ายและคิดจะหันมาออกบวช เนื่องจากเป็นสัตว์
จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ด้วยบันไดแก้วบันไดเงินและบันไดทองที่เหล่าเทวดาทำถวายส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตรนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา จึงได้จัดทำ "บั้งไฟพญานาค" และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน
การแปล กรุณารอสักครู่..
