The Web was not built for geeks. It

The Web was not built for geeks. It was built for everyone. It was built with very high ideals. No single
company, government, or organization controls it. It was new and exciting. New ideas and words appeared
almost daily. Obscure technical terms became household words overnight. First it was email. Then it was URL
and domain name. Then rather quickly came spam, homepage, hyperlink, bookmark, download, upload, cookie,
e-commerce, emoticon, ISP, search engine, and so on. Years later we are still making up new words to describe
our online world. Now we "google" for information. We "tweet" what's happening around us to others. The new
words never seem to stop!
Just because the web seems so chaotic and unorganized compared to more structured companies and
governments, doesn't mean it's total anarchy. In 1994, Tim Berner's Lee started the W3C, a worldwide
organization dedicated to setting standards for the Web. This group is probably the most respected authority for
what should and should not be Web standards. W3C's mission is to lead the Web to it's full potential.
As a student of English and Technology, you will hear people use the words 'Internet' and 'World Wide Web'
almost interchangeably. They are, of course, not the same thing. So what is the difference between the two?
Perhaps a simple answer is that the Internet is the biggest network in the world, and the World Wide Web is a
collection of software and protocols on that network. I guess a more simple way to put it is, the World Wide
Web is an application that runs on The Internet.
The original backbone of the Internet is based on an old military network called ARPANET which was built by
ARPA in the late 1960's. ARPANET was built so information could withstand a nuclear war. The idea was not
to have a single point of failure. This means if part of the ARPANET was blown up in a nuclear war, the rest of
it will still work! What made ARPANET so successful was it's packet-switching technology, invented by
Lawrence Roberts. The idea is that "packets" of information have a "from" address and a "to" address. How they
get from point "a" to point "b" depends on what roads are open to them. Packet switching is a very elegant
thing. Without it, the Internet would simply not work.
People view the World Wide Web through a software application called a web browser or simply a "browser"
for short. Some popular examples of web browsers include Microsoft Internet Explorer, Google Chrome,
Mozilla Firefox, and Apple Safari. Browsers allow people to search, view, and even add and edit data on the
World Wide Web.
The Web is not supposed to be a passive experience. Creating new pages for the Web is getting easier all the
time. Web editing software is specially designed to work with hypertext languages such as HTML, which is the
original specification for the Web. Web editing software normally allows for the WYSIWYG creation of text,
images, and hyperlinks between related documents. With web applications such as wikis, MySpace and
FaceBook, a typical user can create his or her first online presence in a matter of hours.
In the year 1999, the Internet suffered it's first financial crash. Many companies selling products and services on
the Web were not living up to sales expectations. This was known as the Dot Com Bubble. There were many
reasons why this happened, but perhaps the two most important reasons were a combination of slow connection
speeds and too much optimism. Very few people had fast internet connections and many people thought the
Internet was "just a passing fad". But we know now that the Internet is not a fad. So what happened? Web 2.0
happened!
What is Web 2.0? It's very hard to say. It's just a phrase to describe a transition from the pre-existing state of
'Web 1.0', which was slow, static, and unusable, to a new, 'second web', which was faster, more dynamic, and
more usable for the average person. How did these things happen? Easy. Broadband modems enabled sites like
video-streaming YouTube to become possible. Better design and development practices enabled social media
sites like MySpace and then Facebook to attract hundreds of millions of users. Finally, search engine technology
improved on sites like Google where people could actually find the information they were looking for.
What will be the future of the Web? Easy. More speed and more power. In the future, digital distribution on the
Internet is likely to replace all other forms of media distribution including CDs, DVDs, and even radio and
television broadcasts.
I personally feel lucky to be alive in the age of the Web. It is one of the coolest things ever invented. It is
unlikely that such another wonderful and major revolutionary invention will occur in our lifetime. But I can still
dream about the Next Big Thing. And who knows? Maybe you will invent it.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เว็บไม่ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับ geeks มันถูกสร้างขึ้นสำหรับทุกคน มันถูกสร้างขึ้นด้วยอุดมคติสูงมาก ไม่มีเดียว
บริษัท รัฐบาลหรือองค์กรควบคุมมันได้ มันเป็นใหม่และน่าตื่นเต้น ความคิดใหม่และคำพูดที่ปรากฏ
เกือบทุกวัน คำศัพท์ทางเทคนิคที่คลุมเครือกลายเป็นคำที่ใช้ในครัวเรือนในชั่วข้ามคืน ครั้งแรกมันเป็นอีเมล์ แล้วมันก็ URL
และชื่อโดเมน แล้วค่อนข้างได้อย่างรวดเร็วมาสแปมหน้าแรกเชื่อมโยงหลายมิติที่คั่นหนังสือ, ดาวน์โหลดอัพโหลดคุกกี้,
E-Commerce, อิโมติคอน, ISP, เครื่องมือค้นหาและอื่น ๆ ปีต่อมาเราจะยังคงทำให้คำใหม่ที่จะอธิบาย
โลกออนไลน์ของเรา ตอนนี้เรา "google" สำหรับข้อมูล เรา "ทวีต" สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กับผู้อื่น ใหม่
คำไม่เคยดูเหมือนจะหยุด!
เพียงเพราะเว็บที่ดูเหมือนว่าเพื่อให้วุ่นวายและไม่มีการรวบรวมเมื่อเทียบกับ บริษัท ที่มีโครงสร้างมากขึ้นและ
รัฐบาลไม่ได้หมายความว่ามันเป็นความโกลาหลทั้งหมด ในปี 1994 ลีทิม Berner เริ่ม W3C, ทั่วโลก
องค์กรที่อุทิศตนเพื่อมาตรฐานการตั้งค่าสำหรับเว็บ กลุ่มนี้น่าจะเป็นผู้มีอำนาจที่เคารพนับถือมากที่สุดสำหรับ
สิ่งที่ควรและไม่ควรมาตรฐานเว็บ ภารกิจของ W3C คือการทำให้เว็บเพื่อมันเต็มศักยภาพ.
ในฐานะที่เป็นนักเรียนของภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีคุณจะได้ยินคนใช้คำ 'อินเทอร์เน็ต' และ 'เวิลด์ไวด์เว็บ'
เกือบจะสลับกัน พวกเขามีความแน่นอนไม่ได้ในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างสอง?
บางทีคำตอบง่ายๆคือว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเวิลด์ไวด์เว็บเป็น
คอลเลกชันของซอฟต์แวร์และโปรโตคอลเครือข่ายที่ ผมคิดว่าเป็นวิธีที่ง่ายมากขึ้นที่จะนำมันคือเวิลด์ไวด์
เว็บเป็นโปรแกรมที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต.
กระดูกสันหลังเดิมของอินเทอร์เน็ตจะขึ้นอยู่กับเครือข่ายทหารเก่าที่เรียกว่าอาร์พาเนตซึ่งถูกสร้างโดย
อาภาในช่วงปลายปี 1960 ARPANET ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ข้อมูลสามารถทนต่อสงครามนิวเคลียร์ ความคิดไม่ได้
ที่จะมีจุดเดียวของความล้มเหลว ซึ่งหมายความว่าถ้าเป็นส่วนหนึ่งของอาร์พาเนตถูกพัดขึ้นมาในสงครามนิวเคลียร์ส่วนที่เหลือของ
มันจะยังคงทำงาน! อะไรที่ทำให้ ARPANET ประสบความสำเร็จได้รับมันเทคโนโลยีตสลับการประดิษฐ์คิดค้นโดย
โรเบิร์ตอเรนซ์ แนวคิดก็คือว่า "แพ็คเก็ต" ของข้อมูลที่มี "จาก" ที่อยู่และ "เป็น" ที่อยู่ วิธีที่พวกเขา
ได้รับจากจุด "" ชี้ "B" ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ถนนจะเปิดให้พวกเขา สลับแพ็คเก็ตเป็นสง่างามมาก
สิ่ง ไม่ว่าอินเทอร์เน็ตจะเพียงไม่ทำงาน.
คนดูเวิลด์ไวด์เว็บผ่านการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ที่เรียกว่าเว็บเบราเซอร์หรือเพียงแค่ "เบราว์เซอร์"
สำหรับระยะสั้น ตัวอย่างบางส่วนเป็นที่นิยมของเว็บเบราเซอร์รวมถึง Microsoft Internet Explorer, Google Chrome,
Mozilla Firefox, Safari และแอปเปิ้ล เบราว์เซอร์ให้คนค้นหาดูและแม้กระทั่งการเพิ่มและแก้ไขข้อมูลใน
เวิลด์ไวด์เว็บ.
เว็บไม่ควรจะเป็นประสบการณ์เรื่อย ๆ การสร้างหน้าใหม่สำหรับเว็บจะได้รับง่ายขึ้นทุก
เวลา ซอฟแวร์การแก้ไขเว็บได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อทำงานร่วมกับไฮเปอร์เท็กซ์ภาษาเช่น HTML ซึ่งเป็น
สเปคเดิมสำหรับเว็บ ซอฟแวร์การแก้ไขเว็บปกติช่วยให้การสร้างแบบ WYSIWYG ของข้อความ
ภาพและการเชื่อมโยงหลายมิติระหว่างเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับการใช้งานเว็บเช่น Wikis, MySpace และ
Facebook, ผู้ใช้ทั่วไปสามารถสร้างนำเสนอแบบออนไลน์ของเขาหรือเธอเป็นครั้งแรกในเรื่องของการชั่วโมง.
ในปี 1999 ทางอินเทอร์เน็ตได้รับความเดือดร้อนมันเป็นความผิดพลาดทางการเงินเป็นครั้งแรก หลาย บริษัท ขายสินค้าและบริการบน
เว็บไม่ได้อาศัยอยู่ถึงความคาดหวังยอดขาย นี้เป็นที่รู้จักกันเป็นฟองดอทคอม มีหลายคน
ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเกิดขึ้น แต่อาจจะด้วยเหตุผลสองประการที่สำคัญที่สุดคือการรวมกันของการเชื่อมต่อช้า
ความเร็วและมองในแง่ดีมากเกินไป น้อยคนมากที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและหลายคนคิดว่า
อินเทอร์เน็ตคือ "เพียงแค่แฟชั่นผ่าน" แต่เรารู้ว่าตอนนี้ว่าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นแฟชั่น ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น? Web 2.0
ที่เกิดขึ้น!
Web 2.0 คืออะไร? มันยากมากที่จะพูด มันเป็นเพียงคำพูดที่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงจากรัฐที่มีอยู่ก่อนของ
'เว็บ 1.0 ซึ่งช้าคงที่และใช้ไม่ได้ไปอยู่ที่ใหม่' เว็บสอง 'ซึ่งเป็นเร็วขึ้นแบบไดนามิกมากขึ้นและ
สามารถใช้งานได้มากขึ้นสำหรับ คนโดยเฉลี่ย วิธีการทำสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ง่าย โมเด็มบรอดแบนด์ใช้งานเว็บไซต์เช่น
YouTube วิดีโอสตรีมมิ่งที่จะเป็นไปได้ การออกแบบที่ดีขึ้นและการพัฒนาที่เปิดใช้งานสื่อสังคม
เว็บไซต์เช่น MySpace และ Facebook แล้วที่จะดึงดูดหลายร้อยล้านของผู้ใช้ ในที่สุดเทคโนโลยีเครื่องมือค้นหา
ที่ดีขึ้นในเว็บไซต์เช่น Google ซึ่งผู้คนสามารถหาข้อมูลที่พวกเขากำลังมองหา.
สิ่งที่จะเป็นอนาคตของเว็บ? ง่าย ความเร็วมากขึ้นและพลังงานมากขึ้น ในอนาคตการกระจายดิจิตอลบน
อินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนรูปแบบอื่น ๆ ของการกระจายสื่อรวมทั้ง CD, DVD, และแม้กระทั่งวิทยุและ
โทรทัศน์ที่ออกอากาศ.
ผมเองรู้สึกโชคดีที่จะมีชีวิตอยู่ในยุคของเว็บ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ๋งที่สุดที่เคยคิดค้น มันเป็น
น่าที่อื่นเช่นการประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมและการปฏิวัติที่สำคัญจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่ผมก็ยังสามารถ
ฝันถึงสิ่งที่บิ๊กถัดไป และใครจะรู้? บางทีคุณอาจจะคิดค้นมัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เว็บ ไม่ได้สร้างสำหรับ geeks มันถูกสร้างขึ้นสำหรับทุกคน มันถูกสร้างขึ้นด้วยอุดมคติสูงมาก ไม่โสด
บริษัท รัฐบาล หรือองค์กรที่ควบคุมมัน มันใหม่และน่าตื่นเต้น ความคิดใหม่และคำที่ปรากฏ
เกือบทุกวัน ศัพท์ที่คลุมเครือเป็นครัวเรือนคำคืน ตอนแรกเป็น อีเมล์ แล้วมันเป็น URL
และโดเมนเนม แล้วแทนที่จะรีบเข้ามาสแปม , หน้าแรก , เชื่อมโยงหลายมิติที่คั่นหน้าดาวน์โหลด , อัปโหลด , คุกกี้ ,
e - commerce , ไอคอน , ISP , search engine , และดังนั้นบน ปีต่อมาเรายังให้คำอธิบาย
โลกออนไลน์ของเรา ตอนนี้เรา " Google " สำหรับข้อมูล เรา " ทวีต " สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรากับคนอื่น คำใหม่
ดูเหมือนไม่เคยหยุด !
เพราะว่าเว็บก็ดูวุ่นวายอลหม่านเมื่อเทียบกับโครงสร้างมากขึ้นบริษัท
รัฐบาลไม่ได้หมายความว่ามันเป็นอนาธิปไตยทั้งหมด ในปี 1994 , ทิม เบอร์เนอร์ ลีเริ่ม W3C , ทั่วโลก
องค์กรทุ่มเทเพื่อกำหนดมาตรฐานสำหรับเว็บ กลุ่มนี้อาจจะมากที่สุดด้วยอำนาจสำหรับ
สิ่งที่ควรและไม่ควรเป็นมาตรฐานเว็บ พันธกิจของ W3C เพื่อนำเว็บของเต็มศักยภาพ .
เป็นนักเรียนภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีคุณจะได้ยินผู้คนใช้คำว่าอินเทอร์เน็ตและเวิลด์ไวด์เว็บ '
เกือบสลับ พวกเขาจะ แน่นอน ไม่ เหมือนกัน ดังนั้น อะไรคือความแตกต่างระหว่างสอง ?
บางทีคำตอบง่ายๆคือว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเวิลด์ไวด์เว็บเป็นคอลเลกชันของซอฟต์แวร์และโปรโตคอล
บนเครือข่าย ผมเดาว่าเป็นวิธีที่ง่ายมากที่จะทำให้มันเป็นโลกกว้าง
เว็บเป็นโปรแกรมที่รันบนอินเทอร์เน็ต .
แกนหลักเดิมของอินเทอร์เน็ตขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่เรียกว่าซึ่งเป็นทหารเก่าซึ่งถูกสร้างขึ้นโดย
อาภาในปลาย 1960 ' s ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ข้อมูลที่ไม่สามารถทนต่อสงครามนิวเคลียร์ ความคิดไม่ได้
มีจุดเดียวล้มเหลว ซึ่งหมายความว่า ถ้าส่วนหนึ่งของอาร์พาเน็ตได้ระเบิดในสงคราม นิวเคลียร์ ส่วนที่เหลือ
มันจะยังคงทำงาน !อะไรทำให้ซึ่งประสบความสำเร็จคือมันเส้นสองสลึงเทคโนโลยีที่คิดค้นโดย
ลอว์เรนซ์ โรเบิร์ต ไอเดียคือ " แพ็กเก็ต " ของข้อมูลที่มี " จาก " ที่อยู่ " เพื่อ " ที่อยู่ วิธีที่พวกเขา
ได้รับจากจุด A ไปจุด B ขึ้นอยู่กับว่าถนนจะเปิดให้พวกเขา แพกเกตสวิตชิงเป็นสิ่งหรูหรา
มากๆ ถ้าไม่มีมัน อินเทอร์เน็ตจะไม่เพียงแค่การทำงาน .
ผู้คนดูเวิลด์ไวด์เว็บผ่านโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เรียกว่าเว็บเบราเซอร์หรือเพียงแค่ " เบราว์เซอร์ "
สั้น ๆ บางตัวอย่างที่เป็นที่นิยมของเว็บเบราว์เซอร์รวมถึง Microsoft Internet Explorer , Google Chrome ,
Mozilla Firefox , Apple Safari และ . เบราว์เซอร์ที่ช่วยให้ผู้คนเพื่อค้นหา , มุมมอง , และแม้กระทั่งการเพิ่มและแก้ไขข้อมูลบนเวิร์ลไวด์เว็บ
.
เว็บไม่ควรจะเป็นประสบการณ์เรื่อยๆ .สร้างเพจใหม่สำหรับเว็บได้ง่ายทุก
ครั้ง ซอฟต์แวร์แก้ไขเว็บที่ออกแบบมาเป็นพิเศษที่จะทำงานกับ HTML ภาษาเช่น HTML ซึ่งเป็น
สเปคเดิมสำหรับเว็บ ซอฟต์แวร์แก้ไขเว็บปกติช่วยให้ WYSIWYG สร้างข้อความ
รูปภาพและการเชื่อมโยงระหว่างเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับการใช้งานเว็บ เช่น วิกิ , MySpace และ
Facebookเป็นผู้ใช้ทั่วไปสามารถสร้างสถานะออนไลน์ ของเขาหรือเธอ แรก ในเรื่องของการชั่วโมง .
ในปี 1999 , อินเทอร์เน็ตประสบมันผิดพลาดทางการเงินก่อน หลาย บริษัท ขายสินค้าและบริการบน
เว็บไม่ได้อยู่บนความคาดหวังที่ขาย นี้เป็นที่รู้จักในฐานะดอทคอมฟอง มีหลายเหตุผลที่ทำไมนี้เกิดขึ้น
,แต่บางทีสองที่สำคัญที่สุดเหตุผลคือการรวมกันของความเร็วในการเชื่อมต่อ
ช้าและมองในแง่ดีเกินไป น้อยคนมากที่ มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและหลายคนคิดว่า
อินเทอร์เน็ต " แค่ผ่านแฟชั่น " แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นแฟชั่น . แล้วเกิดอะไรขึ้น ? เว็บ 2.0
เกิดขึ้น !
Web 2.0 คืออะไร ? มันก็พูดยากนะมันเป็นแค่วลีที่อธิบายการเปลี่ยนจากรัฐที่มีอยู่แล้ว
'web 1.0 ' ซึ่งก็ช้า คงที่ และใช้งานกับเว็บใหม่ ' ' วินาที ซึ่งเร็วกว่าแบบไดนามิกมากขึ้นและ
ใช้งานได้มากขึ้น สำหรับคนอื่น ทำไมสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ? ง่าย บรอดแบนด์โมเด็มเปิดเว็บไซต์เช่นสตรีมมิ่งวิดีโอ YouTube เป็นไปได้
. การออกแบบที่ดีและพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการเปิดใช้งานสื่อสังคม
เว็บไซต์เช่น MySpace และ Facebook เพื่อดึงดูดหลายร้อยของล้านของผู้ใช้ ในที่สุด การค้นหาเทคโนโลยีเครื่องยนต์
การปรับปรุงบนเว็บไซต์เช่น Google ที่ผู้คนจะค้นหาข้อมูลที่พวกเขากำลังมองหา .
สิ่งที่จะเป็นอนาคตของเว็บ ? ง่าย ความเร็วมากขึ้นและพลังงานมากขึ้น ในอนาคต , การกระจายดิจิตอลบน
อินเทอร์เน็ตอาจแทนที่รูปแบบอื่นๆของการกระจายสื่อรวมถึง CD , DVD , และแม้กระทั่งวิทยุและวิทยุโทรทัศน์
.
ผมเองรู้สึกโชคดีมากที่มีชีวิตอยู่ในยุคของเว็บ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ๋งที่สุดที่เคยคิดค้น มันไม่น่าที่เช่นอื่น
ยอดเยี่ยมและสาขาสิ่งประดิษฐ์ปฏิวัติจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่ผมยัง
ฝันถึงสิ่งใหญ่ต่อไปและผู้ที่รู้ ? บางทีคุณอาจจะสร้างมันขึ้นมา