กฎหมายไทยในยุคกลางหากพิจารณาลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่ากฎหมายไทยในยุคนี้ยังแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
(1) ช่วงที่เป็นกฎหมายไทยเดิมแท้ๆกล่าวคือ กฎหมายในช่วงนี้เป็นกฎหมายที่มาจากวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทยแท้ๆ ก่อนที่จะได้รับอิทธพลของวัฒนธรรมอินเดีย ระยะเวลาในช่วงนี้จะเริ่มจากถิ่นกำเนิดคนไทยจนถึงสมัยสุโขทัย ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการก็พบว่าสังคมไทยดั้งเดิมนั้นเป็นสังคมแบบมาตาธิปไตย คือ ถือแม่เป็นใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากธรรมเนียนการสมรสแบบ Matrilocal marriage คือ ชายหญิงเมื่อสมรสกันแล้วชายต้องมาอยู่กับครอบครัวของหญิง หญิงจึงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรและเก็บรักษาทรัพย์สิน[10] ธรรมเนียมการสมรสที่ชายต้องอาศัยตระกูลของหญิงทำให้หญิงสำนึกว่าตัวเป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้น ในชีวิตสมรสชายจึงมีฐานะเหมือนเป็นแขกในครอบครัวฝ่ายหญิง ซึ่งทำให้เกิดความเคยชินที่ชายต้องให้ความสำคัญแก่คนในครอบครัวหญิงรวมทั้งตัวหญิงเองด้วย ประกอบกับธรรมเนียมไทยที่มักให้ลูกหญิงคนหนึ่งซึ่งโดยมากเป็นลูกสาวคนเล็กและลูกเขยที่อยู่ด้วยนั้นจะได้รับมรดกต่อ
ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะที่ดั้งเดิมที่สุด แต่โครงสร้างพื้นฐานที่กล่าวนี้ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อชนชาติไทยที่อยู่ในแหลมอินโดจีนได้สัมผัสและรับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา
(2) กฎหมายในช่วงที่สองนั้นเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งวัฒนธรรมอินเดียนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ถือชายเป็นใหญ่หรือเรียกว่า ปิตาธิปไตย ทำให้สถานภาพหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมาถึงสมัยที่ใช้คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ ได้มีการกล่าวถึงสถานภาพของสตรีว่า ผู้หญิงเป็นเพียงที่พัก เป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดี จึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรม เพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ จึงไม่มีส่วนในมนตร์
ในช่วงประวัติศาสตร์กฎหมายที่ไม่ชอบคือ การที่ทุกคนไม่เท่าเทียมกันจะเห็นได้ว่า กฎหมายไทยในยุคประวัติศาสตร์มีการแบ่งชนชั้นอย่าชัดเจนทำให้ทุกคนไม่เท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิต มีการขู่บังคับและข่มเหงกลุ่มคนซึ่งมีฐานะต่ำกว่าหรือมีศักดิ์ต่ำกว่าเช่น ชายหญิง
ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงเป็นเพียงที่พัก เป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชายและมีธรรมชาติที่เลวร้ายในตัวถ้าไม่ได้รับการอบรมที่ดี จึงมีการห้ามผู้หญิงทำพิธีกรรม เพราะถือว่าหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ จึงไม่มีส่วนในมนตร์ นอกจากนี้ยังถือว่าหญิงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ จึงมีการห้ามผู้หญิงเป็นพยาน กฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าผู้หญิงเปรียบประดุจวัตถุสิ่งของที่ขึ้นอยู่กับการจับวางของชายผู้เป็นเจ้าของ