ปัจจุบันทารกเกิดก่อนกำหนดมีอุบัติการณ์สูงทั่วโลก ในทวีปแอฟริกา ยุโรป เอเชียและอเมริกา มีทารกเกิดก่อนกำหนด ร้อยละ 11.9, 6.2, 9.1 และ 10.6 ตามลำดับ (Beck et al., 2010) สำหรับในประเทศไทยมีทารกเกิดก่อนกำหนดปีละ 80,000 ราย คิดเป็นร้อยละ 12 ของทารกเกิดมีชีพทั้งหมด ซึ่งเป็นอุบัติการณ์สูงเช่นเดียวกับทั่วโลก (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข, 2558) ทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ศูนย์ควบคุมการหายใจเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ส่งผลให้ทารกเกิดก่อนกำหนดเกิดภาวะหยุดหายใจ โครงสร้างทางเดินหายใจมีขนาดเล็กมีแรงต้านทานในทางเดินหายใจสูงและเสี่ยงต่อการอุดกั้น การสร้างถุงลมปอดและสารลดแรงตึงผิวยังไม่สมบูรณ์ส่งผลให้มีพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซและการยืดหยุ่นของปอดน้อย ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกมีโครงสร้างอ่อนนิ่ม ทรวงอกยุบตัวง่ายและไม่สามารถคงรูปร่างทรวงอกไว้ขณะหายใจออกได้เนื่องจากแรงดันในทรวงอกมีค่าใกล้เคียงกับความดันบรรยากาศ (DiBlasi et al., 2011) เกิดปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย ได้แก่ กลุ่มอาการหายใจลำบากจากการขาดสารลดแรงตึงผิว ภาวะหยุดหายใจในทารกเกิดก่อนกำหนด ภาวะปอดอักเสบและภาวะติดเชื้อในทารกเกิดก่อนกำหนด โดยอุบัติการณ์และความรุนแรงยิ่งสูงขึ้นในทารกเกิดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อย (Kinsella &Parker, 2012) จากปัญหาสุขภาพดังกล่าวทารกเกิดก่อนกำหนดมักมีภาวะหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่คุกคามชีวิตต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตและมีอัตราการเสียชีวิตสูง (Askin, 2007) ปัจจุบันมีการดูแลรักษาภาวะหายใจล้มเหลวในทารกเกิดก่อนกำหนดหลากหลาย ได้แก่ การใช้ออกซิเจนบำบัด การรักษาด้วยยา การให้สารลดแรงตึงผิว การใส่ท่อช่วยหายใจผ่านหลอดลมคอ การใช้เครื่องช่วยหายใจแบบรุกราน (invasive mechanical ventilator) การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกเพื่อแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนและส่งเสริมให้ทารกเกิดก่อนกำหนดมีการระบายอากาศที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (Buckmaster et al., 2007; Amatya et al., 2015)
การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกเป็นรูปแบบการช่วยหายใจแบบไม่รุกราน (non-invasive mechanical ventilation)โดยให้แรงดันบวกต่อเนื่องและออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจเพื่อถ่างขยายทางเดินหายใจและถุงลมปอดของทารกเกิดก่อนกำหนดที่สามารถหายใจเองได้ ลดแรงต้านทานในทางเดินหายใจ คงรูปร่างของทรวงอก ลดการใช้พลังงานในการหายใจครั้งต่อไป ถุงลมปอดมีการขยายตัวอย่างทั่วถึงเพิ่มพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทารกเกิดก่อนกำหนดได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ ร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุลกรด-ด่าง (Sankar, 2008) การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกจะช่วยประคับประคองชีวิตของทารกเกิดก่อนกำหนดในระยะวิกฤต โดยทั่วไปทารกเกิดก่อนกำหนดจะสามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกได้ในเวลา 2-3 วัน (Morley et al., 2008) แต่จากประสบการณ์และการทบทวนวรรณกรรมกลับพบว่า มีทารกเกิดก่อนกำหนดที่ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูก มากกว่า 7 วัน ซึ่งถือว่ามีระยะเวลามากกว่ามาตรฐาน (Morley et at., 2008; Abdel-Hady et al., 2011) เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แก่ ภาวะออกซิเจนเป็นพิษในทารกเกิดก่อนกำหนด (Tin & Gupta, 2007) ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Makhoul, 2002) ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง (Morley, 2008; Amatya et al., 2015) ภาวะติดเชื้อหลังจากการใส่ท่อช่วยหายใจทางจมูกมากกว่า 48 ชั่วโมง การบาดเจ็บผิวหนังบริเวณจมูก (Eifinger et al., 2005; Fischer et al., 2010) ทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้น (Wiswell & Courtney, 2011) ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวส่งผลให้ทารกมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ระยะเวลานอนโรงพยาบาลนานขึ้นและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น (Singer et al., 2009; Fischer et al., 2010) การลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น (Yong et al., 2005) และควรดำเนินการหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกทันทีที่ทารกเกิดก่อนกำหนดพร้อม (Todd et al., 2012) โดยมีปัจจัยที่สัมพันธ์กับระยะเวลาการใช้และความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจได้แก่ ความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจนในร่างกาย (Baross et al., 2011) น้ำหนักตัวของทารก ภาวะซีด ภาวะกรดไหลย้อนในกระเพาะอาหาร ประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจ ประวัติมารดามีภาวะน้ำคร่ำอักเสบและการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Rastogi et al., 2012)
ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับการลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจอย่างหลากหลาย เช่น การให้สารลดแรงตึงผิวร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูก (Rojas et al., 2009) การพัฒนาแนวทางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บผิวหนังบริเวณจมูก (Yong et al., 2005) และการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจด้วยวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจที่แตกต่างกัน (Soe et al., 2007; Singh et al., 2007; Todd et al., 2012; Blackwood et al., 2013) ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกในปัจจุบันมีการดำเนินการตามบทบาทแต่ละวิชาชีพ คือ แพทย์ประเมินความพร้อมและเลือกวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการหย่าเครื่องช่วยหายใจในช่วงเวรเช้าหลังจากประเมินอาการทารกในแต่ละวัน (Jardine et al., 2008) พยาบาลมีบทบาทปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการช่วยหายใจให้มีประสิทธิภาพในทุกระยะการใช้เครื่องช่วยหายใจ ติดตามประเมินอาการทารกเกิดก่อนกำหนดขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ การปฏิบัติการพยาบาลและการตัดสินใจช่วยเหลือเมื่อทารกเกิดก่อนกำหนดมีอาการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามตามความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งยังพบว่าทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหา
ปัจจุบันทารกเกิดก่อนกำหนดมีอุบัติการณ์สูงทั่วโลกในทวีปแอฟริกายุโรปเอเชียและอเมริกามีทารกเกิดก่อนกำหนดร้อยละ 11.9, 6.2, 9.1 และ 10.6 ตามลำดับ (เบ็ค et al. 2010) สำหรับในประเทศไทยมีทารกเกิดก่อนกำหนดปีละ 80,000 รายคิดเป็นร้อยละ 12 ของทารกเกิดมีชีพทั้งหมดซึ่งเป็นอุบัติการณ์สูงเช่นเดียวกับทั่วโลก (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข 2558) ทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆไม่สมบูรณ์ได้แก่ศูนย์ควบคุมการหายใจเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ส่งผลให้ทารกเกิดก่อนกำหนดเกิดภาวะหยุดหายใจโครงสร้างทางเดินหายใจมีขนาดเล็กมีแรงต้านทานในทางเดินหายใจสูงและเสี่ยงต่อการอุดกั้นการสร้างถุงลมปอดและสารลดแรงตึงผิวยังไม่สมบูรณ์ส่งผลให้มีพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซและการยืดหยุ่นของปอดน้อยระบบกล้ามเนื้อและกระดูกมีโครงสร้างอ่อนนิ่มทรวงอกยุบตัวง่ายและไม่สามารถคงรูปร่างทรวงอกไว้ขณะหายใจออกได้เนื่องจากแรงดันในทรวงอกมีค่าใกล้เคียงกับความดันบรรยากาศ (DiBlasi et al. 2011) เกิดปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยได้แก่กลุ่มอาการหายใจลำบากจากการขาดสารลดแรงตึงผิวภาวะหยุดหายใจในทารกเกิดก่อนกำหนดภาวะปอดอักเสบและภาวะติดเชื้อในทารกเกิดก่อนกำหนดโดยอุบัติการณ์และความรุนแรงยิ่งสูงขึ้นในทารกเกิดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อย (Kinsella และปาร์คเกอร์ 2012) (Askin, 2007) จากปัญหาสุขภาพดังกล่าวทารกเกิดก่อนกำหนดมักมีภาวะหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่คุกคามชีวิตต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตและมีอัตราการเสียชีวิตสูงปัจจุบันมีการดูแลรักษาภาวะหายใจล้มเหลวในทารกเกิดก่อนกำหนดหลากหลายได้แก่การใช้ออกซิเจนบำบัดการรักษาด้วยยาการให้สารลดแรงตึงผิวการใส่ท่อช่วยหายใจผ่านหลอดลมคอการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบรุกราน (รุกรานโพรง) การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกเพื่อแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนและส่งเสริมให้ทารกเกิดก่อนกำหนดมีการระบายอากาศที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (Buckmaster et al. 2007 Amatya et al. 2015) ลดแรงต้านทานในทางโดยให้แรงดันบวกต่อเนื่องและออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจเพื่อถ่างขยายทางเดินหายใจและถุงลมปอดของทารกเกิดก่อนกำหนดที่สามารถหายใจเองได้การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกเป็นรูปแบบการช่วยหายใจแบบไม่รุกราน (ปราศจากเครื่องช่วยหายใจ)เดินหายใจคงรูปร่างของทรวงอกลดการใช้พลังงานในการหายใจครั้งต่อไปถุงลมปอดมีการขยายตัวอย่างทั่วถึงเพิ่มพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซทารกเกิดก่อนกำหนดได้รับออกซิเจนที่เพียงพอร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุลกรด-ด่าง (Sankar, 2008) การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกจะช่วยประคับประคองชีวิตของทารกเกิดก่อนกำหนดในระยะวิกฤตโดยทั่วไปทารกเกิดก่อนกำหนดจะสามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกได้ในเวลา 2-3 วัน (Morley et al. 2008) แต่จากประสบการณ์และการทบทวนวรรณกรรมกลับพบว่ามีทารกเกิดก่อนกำหนดที่ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกมากกว่า 7 วันซึ่งถือว่ามีระยะเวลามากกว่ามาตรฐาน (Morley et at., 2008 Abdel-Hady et al. 2011) ภาวะออกซิเจนเป็นพิษในทารกเกิดก่อนกำหนดเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้แก่ (ดีบุกและคุปตะ 2007) ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Makhoul, 2002) ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง (Morley, 2008 Amatya et al. 2015) การบาดเจ็บผิวหนังบริเวณจมูกภาวะติดเชื้อหลังจากการใส่ท่อช่วยหายใจทางจมูกมากกว่า 48 ชั่วโมง (Eifinger et al. 2005 Fischer et al. 2010) ทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้น (Wiswell และคอร์ทนีย์ 2011) ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวส่งผลให้ทารกมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นระยะเวลานอนโรงพยาบาลนานขึ้นและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น (นักร้อง et al. 2009 Fischer et al. 2010) การลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น (ยง et al. 2005) และควรดำเนินการหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกทันทีที่ทารกเกิดก่อนกำหนดพร้อม (ทอดด์ et al. 2012) โดยมีปัจจัยที่สัมพันธ์กับระยะเวลาการใช้และความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจได้แก่ความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจนในร่างกาย (Baross et al. 2011) น้ำหนักตัวของทารกภาวะซีดภาวะกรดไหลย้อนในกระเพาะอาหารประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจประวัติมารดามีภาวะน้ำคร่ำอักเสบและการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Rastogi et al. 2012)ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับการลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจอย่างหลากหลาย เช่น การให้สารลดแรงตึงผิวร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูก (Rojas et al., 2009) การพัฒนาแนวทางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บผิวหนังบริเวณจมูก (Yong et al., 2005) และการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจด้วยวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจที่แตกต่างกัน (Soe et al., 2007; Singh et al., 2007; Todd et al., 2012; Blackwood et al., 2013) ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกในปัจจุบันมีการดำเนินการตามบทบาทแต่ละวิชาชีพ คือ แพทย์ประเมินความพร้อมและเลือกวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการหย่าเครื่องช่วยหายใจในช่วงเวรเช้าหลังจากประเมินอาการทารกในแต่ละวัน (Jardine et al., 2008) พยาบาลมีบทบาทปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการช่วยหายใจให้มีประสิทธิภาพในทุกระยะการใช้เครื่องช่วยหายใจ ติดตามประเมินอาการทารกเกิดก่อนกำหนดขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ การปฏิบัติการพยาบาลและการตัดสินใจช่วยเหลือเมื่อทารกเกิดก่อนกำหนดมีอาการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามตามความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งยังพบว่าทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหา
การแปล กรุณารอสักครู่..

ปัจจุบันทารกเกิดก่อนกำหนดมีอุบัติการณ์ สูงทั่วโลกในทวีปแอฟริกายุโรปเอเชียและอเมริกามีทารกเกิดก่อนกำหนดร้อยละ 11.9, 6.2, 9.1 และ 10.6 ตามลำดับ (Beck et al., 2010) สำหรับในประเทศไทยมีทารกเกิดก่อนกำหนด ปีละ 80,000 รายคิดเป็นร้อยละ 12 ของทารกเกิดมีชีพทั้งหมดซึ่งเป็น อุบัติการณ์สูงเช่นเดียวกับทั่วโลก (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข,2558) ทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ศูนย์ควบคุมการหายใจเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ส่งผลให้ทารกเกิดก่อนกำหนดเกิดภาวะหยุดหายใจโครงสร้างทางเดินหายใจมีขนาดเล็กมีแรงต้านทานในทางเดินหายใจสูงและ เสี่ยงต่อการอุดกั้นการสร้างถุงลมปอดและสารลดแรงตึงผิวยังไม่สมบูรณ์ส่งผลให้มีพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซและการยืดหยุ่นของปอดน้อยระบบกล้ามเนื้อและกระดูกมีโครงสร้างอ่อนนิ่มทรวงอกยุบตัวง่ายและไม่ สามารถคงรูปร่างทรวงอกไว้ขณะหายใจออกได้เนื่องจากแรงดันในทรวงอกมีค่าใกล้เคียงกับความดันบรรยากาศ (DiBlasi et al. 2011) เกิดปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย ได้แก่ กลุ่มอาการหายใจลำบากจากการขาดสารลดแรงตึงผิวภาวะ หยุดหายใจในทารกเกิดก่อนกำหนดภาวะปอดอักเสบและภาวะติดเชื้อในทารกเกิดก่อนกำหนดโดยอุบัติการณ์และความรุนแรงยิ่งสูงขึ้นในทารกเกิดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อย (คินเซลลาและปาร์กเกอร์2012) จากปัญหาสุขภาพดังกล่าวทารกเกิดก่อนกำหนดมักมีภาวะหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่คุกคามชีวิตต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตและมีอัตราการเสียชีวิตสูง (Askin 2007) ปัจจุบันมีการดูแล รักษาภาวะหายใจล้มเหลวในทารกเกิดก่อนกำหนดหลากหลาย ได้แก่ การใช้ออกซิเจนบำบัดการรักษาด้วยยาการให้สารลดแรงตึงผิวการใส่ท่อช่วยหายใจผ่านหลอดลมคอการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบรุกราน (รุกรานเครื่องช่วยหายใจ) การใช้เครื่องช่วย หายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกเพื่อแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนและส่งเสริมให้ทารกเกิดก่อนกำหนดมีการระบายอากาศที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (Buckmaster et al, 2007;.. Amatya, et al,2015)
การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดัน บวกต่อเนื่องทางจมูกเป็นรูปแบบการช่วยหายใจแบบไม่รุกราน (เครื่องช่วยหายใจไม่รุกราน) โดยให้แรงดันบวกต่อเนื่องและ ออกซิเจนจากเครื่องช่วยหายใจเพื่อถ่างขยายทางเดินหายใจ และถุงลมปอดของทารกเกิดก่อน กำหนดที่สามารถหายใจเองได้ลดแรงต้านทานในทางเดินหายใจคงรูปร่างของทรวงอกลดการใช้พลังงานในการหายใจครั้งต่อไปถุงลมปอดมีการขยายตัวอย่างทั่วถึงเพิ่มพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ทารกเกิดก่อนกำหนดได้รับออกซิเจนที่ เพียงพอร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุลกรด - ด่าง (Sankar 2008) การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดัน บวกต่อเนื่องทางจมูกจะช่วยประคับประคองชีวิตของทารกเกิดก่อนกำหนดในระยะวิกฤตโดยทั่วไปทารก เกิดก่อนกำหนดจะสามารถหย่าเครื่องช่วย หายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกได้ในเวลา 2-3 วัน (มอร์ลี่ย์ et al.,2008) แต่จากประสบการณ์และการทบทวนวรรณกรรมกลับพบว่ามีทารกเกิดก่อนกำหนดที่ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกมากกว่า 7 วันซึ่งถือว่ามีระยะเวลามากกว่ามาตรฐาน (มอร์ลี่ย์เอตที่ 2008. Abdel- Hady et al. 2011) เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ได้แก่ ภาวะออกซิเจนเป็นพิษในทารกเกิดก่อนกำหนด (TIN และ Gupta, 2007) ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Makhoul, 2002) ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง (มอร์ลี่ย์ 2008; Amatya et al, 2015) ภาวะติดเชื้อหลังจากการใส่ท่อช่วยหายใจทางจมูกมากกว่า 48 ชั่วโมงการบาดเจ็บผิวหนังบริเวณจมูก (Eifinger et al, 2005;... ฟิชเชอร์, et al, 2010) ทางเดินหายใจส่วนบนอุด กั้น (Wiswell และ Courtney 2011) ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวส่งผลให้ทารกมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นระยะเวลานอนโรงพยาบาลนานขึ้นและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น (นักร้อง et al, 2009;. ฟิชเชอร์ et al.,2010) การลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น (ยง et al., 2005) และควรดำเนินการหย่าเครื่องช่วย หายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกทันทีที่ทารกเกิดก่อนกำหนดพร้อม (Todd et al., 2012) โดยมีปัจจัยที่สัมพันธ์กับระยะเวลาการใช้และความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ ได้แก่ ความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน ในร่างกาย (Baross et al. 2011) น้ำหนักตัวของทารกภาวะซีดภาวะกรดไหลย้อนในกระเพาะอาหารประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจประวัติมารดามีภาวะน้ำคร่ำอักเสบและการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Rastogi et al, .2012)
ที่ผ่านมามีการศึกษาเกี่ยวกับ การลดระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูกและการส่งเสริมความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจอย่างหลากหลายเช่นการให้สารลดแรงตึงผิวร่วมกับ การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดัน บวกต่อเนื่องทางจมูก (Rojas et al., 2009) การพัฒนาแนวทางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บผิวหนัง บริเวณจมูก (ยง et al., 2005) และการใช้ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการ หย่าเครื่องช่วย หายใจด้วยวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ ที่แตกต่างกัน (Soe et al, 2007;. ซิงห์ et al, 2007;.. ทอดด์ et al, 2012;. แบลค, et al, 2013) ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการหย่าเครื่องช่วย หายใจ ชนิดแรงดันบวกต่อเนื่องทางจมูก ในปัจจุบันมีการดำเนินการตามบทบาทแต่ละวิชาชีพคือแพทย์ประเมินความพร้อมและเลือกวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการหย่าเครื่องช่วยหายใจในช่วงเวรเช้าหลังจากประเมินอาการทารกในแต่ละ วัน (ฌา et al.,2008) พยาบาลมีบทบาทปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการช่วยหายใจให้มีประสิทธิภาพในทุกระยะการใช้เครื่องช่วยหายใจติดตามประเมินอาการทารกเกิดก่อนกำหนดขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจการปฏิบัติการพยาบาลและการตัดสินใจช่วยเหลือเมื่อทารกเกิดก่อนกำหนดมีอาการเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามตามความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งยังพบว่าทารกเกิดก่อนกำหนดยังมีระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหา
การแปล กรุณารอสักครู่..
