Taking the idealistic simplest case

Taking the idealistic simplest case a subset of dye molecules suspended in solution that have a mono-exponential fluorescence lifetime {displaystyle au } and r0=0.4 (rhodamine 6g in ethylene glycol made to have an absorbance of ~0.05 is a good test sample). If the excitation is unpolarized then the measured fluorescence emission should likewise be unpolarized. If however the excitation source is vertically polarized using an excitation polarizer then polarization effects will be picked up in the measured fluorescence. These polarization artefacts can be combated by placing an emission polarizer at the magic angle of 54.7º. If the emission polarizer is vertically polarized there will be an additional loss of fluorescence as Brownian motion results in dye molecules moving from an initial vertical polarized configuration to an unpolarized configuration. On the other hand, if the emission polarizer is horizontally polarized there will be an additional introduction of excited molecules that were initially vertically polarized and became depolarized via Brownian motion. The fluorescence sum and difference can be constructed by addition of the intensities and subtraction of the fluorescence intensities respectively

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กรณีที่ง่ายที่สุดอุดมการณ์การชุดย่อยของโมเลกุลสีย้อมที่ถูกระงับในโซลูชันที่มีเรืองแสงขาวดำเนนชีวิต {displaystyle au } และ r0 = 0.4 (rhodamine 6 กรัมในเอทิลีนไกลคอลทำให้มีค่าเป็นของ ~0.05 เป็นตัวอย่างทดสอบที่ดี) ถ้าการกระตุ้นเป็น unpolarized แล้วปล่อยเรืองแสงที่วัดได้ควรจะ unpolarized ถ้าอย่างไรก็ตาม แหล่งที่มากระตุ้นแนวจ้าใช้โพลาไรเซอร์การกระตุ้น แล้วผลโพลาไรซ์จะมารับเรืองแสงที่วัด โพลาไรซ์สิ่งเหล่านี้สามารถถูกต่อต้าน โดยวางโพลาไรเซอร์การปล่อยที่มุมมหัศจรรย์ของ 54.7º ถ้าแนวตั้งมีขั้วโพลาไรเซอร์ปล่อย จะให้เรืองแสงเป็นผลการเคลื่อนที่แบบบราวน์ย้อมโมเลกุลที่ย้ายจากการกำหนดค่าโพลาไรซ์แนวตั้งเริ่มต้นการกำหนดค่า unpolarized ที่สูญเสียเพิ่มเติม บนมืออื่น ๆ ถ้าโพลาไรเซอร์ปล่อยแนวจ้า จะแนะนำเพิ่มเติมของตื่นเต้นโมเลกุลที่มีขั้วแรกแนวตั้ง และกลายเป็น depolarized ผ่านทางการเคลื่อนที่แบบบราวน์ ผลรวมเรืองแสงและความแตกต่างสามารถสร้าง โดยของความเข้มการบวกและการลบของความเข้มการเรืองแสงตามลำดับ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การกรณีที่ง่ายอุดมคติเป็นส่วนหนึ่งของโมเลกุลของสีย้อมที่ถูกระงับในการแก้ปัญหาที่มีโมโนชี้แจงเรืองแสงอายุการใช้งาน { displaystyle เอกภาพ} และ R0 = 0.4 (rhodamine 6g ในเอทิลีนไกลคอลที่ทำจะมีการดูดกลืนแสงของ ~ 0.05 คือตัวอย่างการทดสอบที่ดี ) หากกระตุ้นคือ unpolarized แล้วปล่อยก๊าซเรืองแสงวัดเช่นเดียวกันควรจะ unpolarized แต่ถ้าแหล่งที่มากระตุ้นเป็นขั้วแนวตั้งโดยใช้โพลาไรกระตุ้นแล้วโพลาไรซ์ผลกระทบที่จะได้รับเลือกขึ้นมาในวัดเรืองแสง โพลาไรซ์สิ่งของเหล่านี้สามารถปิศาจโดยการวางโพลาไรปล่อยก๊าซเรือนกระจกในมุมความมหัศจรรย์ของ54.7º ถ้าโพลาไรปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีขั้วในแนวตั้งจะมีการสูญเสียที่เพิ่มขึ้นของการเรืองแสงเป็นผลการเคลื่อนที่ในโมเลกุลของสีย้อมที่ย้ายมาจากการกำหนดค่าเริ่มต้นขั้วแนวตั้งเพื่อการกำหนดค่า unpolarized ในทางตรงกันข้ามถ้าโพลาไรปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีขั้วในแนวนอนจะมีการแนะนำเพิ่มเติมของโมเลกุลตื่นเต้นที่เริ่มถูกขั้วแนวตั้งและกลายเป็นขั่ผ่านเคลื่อนที่ ผลรวมการเรืองแสงและความแตกต่างจะถูกสร้างขึ้นโดยการเติมความเข้มและลบของความเข้มของการเรืองแสงตามลำดับ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เอาเป็นกรณีง่ายที่สุด เป็นเซตย่อยของโมเลกุลสีแขวนลอยในสารละลายที่มีโมโนชี้แจงเรืองอายุ displaystyle AU { } และ r0 = 0.4 ( จาก 6G ในเอทิลีนไกลคอล ทำให้มีการดูดกลืนแสงของ ~ 0.05 คือตัวอย่างทดสอบที่ดี ) ถ้าเป็นแบบ unpolarized แล้ววัดการปล่อยควรเช่นเดียวกันเป็น unpolarized . แต่ถ้า 01 เป็นแนวตั้ง ใช้ขั้วกระตุ้น polarizer แล้วผลจะเกิดขึ้นในวัดการเรืองแสงด้วย สิ่งประดิษฐ์ วิธีการเหล่านี้สามารถได้ต่อสู้กับมลพิษโดยการวาง polarizer ที่มุมความมหัศจรรย์ของผลº . ถ้าปล่อย polarizer คือแนวตั้งขั้วจะมีการสูญเสียเพิ่มเติมของการเรืองแสงจากการเคลื่อนไหวของโมเลกุลสีบราวเนียนในการย้ายจากเริ่มต้นการตั้งค่าการปรับแต่ง unpolarized ขั้วแนวตั้ง . ในทางกลับกัน ถ้าปล่อย polarizer คือแนวนอนขั้วจะมีแนะนำเพิ่มเติมของโมเลกุลที่มีขั้ว เริ่มตื่นเต้นและเป็นแนวตั้ง depolarized ผ่านการเคลื่อนที่เฉพาะ . เรืองแสงด้วยผลรวมและความแตกต่างสามารถถูกสร้างขึ้นโดยการเพิ่มของความเข้มและการลบของ fluorescence intensities ตามลำดับ