ย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่แสนวิเศษ ฉันใช้เวลาในการนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ท่านมักจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ในช่วงนั้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก
สมัยนั้นบ้านของฉันยังเป็นบ้านกระท่อมหลังเล็กๆ มีสังกะสีผุๆ เก่าคร่ำคร่า มากั้นตามบริเวณต่างๆ ของบ้าน วันหนึ่ง ฉันได้นั่งดูข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาทางโทรทัศน์พบว่า ในช่วงเย็นของวันนั้นจะเกิดพายุฤดูร้อนในบริเวณจังหวัดของฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก จนกระทั่งตกบ่าย เมฆเริ่มตั้งเค้าแล้วค่อยๆ แผ่อาณาเขตไปทั่วทุกพื้นที่ทุกบริเวณ จากนั้นเม็ดฝนหยดใหญ่ก็ค่อยๆ กระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย พร้อมเสียงฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกแรงที่ได้ยินแล้วรู้สึกเสียขวัญเป็นอย่างมาก ฉันกับพี่ชายและน้องชายนั่งอยู่บนที่นอนของพ่อแม่ นั่งมองไปรอบๆ บ้านอย่างรู้สึกหวาดหวั่น เพราะบ้านของฉันไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก โดยในขณะที่ฉันมองขึ้นไปบนหลังคาแล้วจินตนาการไปว่า ถ้าสังกะสีถูกลมพัดจนเปิดออกจะเป็นอย่างไรนะ และทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พายุลูกใหญ่ได้พัดโถมเข้ามาจนทำให้สังกะสีเหนือหัวของพวกเราเปิดออก และถูกพัดปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นฉันรู้สึกตกใจมาก พวกเรารีบกระโจนออกจากจากที่นอนของพ่อและแม่ พี่ชายไล่ให้ฉันและน้องชายเข้าไปหลบใต้โซฟาไม้ ขณะที่เขาก็รีบวิ่งไปดึงผ้าห่มและหมอนบนที่นอนคุณพ่อและแม่ออก ฉันและน้องชายนอนมองพี่ชายอย่างรู้สึกว่าในเวลานี้เขาคือที่พึ่งที่ดีที่สุด ความหวังทั้งหมดคงต้องฝากไว้กับเขา พี่ชายหันมาบอกฉันกับน้องชายว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฝนก็หยุด แล้วก็กับแม่จะกลับมา นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพร้อมๆ กับน้ำตาที่ถูกกลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกค่อยๆ พรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง จนกระทั่งฝนหยุดตก ฉันเดินไปสำรวจรอบๆ บ้านพบว่ามีลูกเห็บขนาดเท่าลูกมะยมหลายเม็ด เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมันจริงๆ และหวังว่าจะไม่เห็นมันอีก นับว่าเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่นัก