นับตั้งแต่การสำรวจทางทะเล เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 – 19 นั้น อารยธรรมตะวันตกได้แพร่ขยายออกไปทั่วโลกทั้งในทวีปเอเซีย แอฟริกา ชาวยุโรปเข้ายึดครองดินแดนของชนชาติต่าง ๆ ในรูปของการล่าอาณานิคม
จักรวรรดินิยมยุคแรก
เริ่มต้นเมื่อมีการค้นพบทวีปแอฟริกา และค้นพบเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปเอเชีย เมื่อศตวรรษที่ 15 สเปนและโปรตุเกสเป็นชาติผู้นำการค้นพบดินแดนใหม่ โดยที่สเปนเข้ายึดครองดินแดนในอเมริกาใต้แล้วนำเงิน ทองคำ จากโลกใหม่ไป ส่วนโปรตุเกสมั่งคั่งจากการผูกขาดการค้าขายกับอินเดีย และหมู่เกาะเครื่องเทศ ต่อมาเส้นทางผูกขาดการค้า การเดินเรือของสเปนและโปรตุเกสมีคู่แข่ง คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา โดยที่อังกฤษเริ่มส่งคนไปตั้งถิ่นฐานแถบอเมริกาเหนือ และกระจายกันไปในโลกใหม่ ส่วนในฮอลันดาในศตวรรษที่ 17 มีเรือเดินสมุทรมากและควบคุมการค้าขายแถบสุมาตรา บอร์เนียว และโมลุกกะ (หมู่เกาะเครื่องเทศ) โดยขับไล่โปรตุเกสได้สำเร็จ และมีสถานีการค้าในจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ด้านฝรั่งเศส สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เข้าไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเหนือตอนกลาง สถานีการค้าในอินเดียและหมู่เกาะเวสต์อินดีส อังกฤษและฝรั่งเศสขัดกันเรื่องผลประโยชน์ การแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนืออินเดียระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของอังกฤษปี ค.ศ. 1769 ขณะเดียวกันการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าในทวีปเอเชียเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทำให้เส้นทางการค้าซีกโลกตะวันตกมีความสำคัญมากขึ้น เพราะโลกใหม่ต้องการทาส ยุโรปต้องการน้ำตาลและใบยาสูบจากโลกใหม่การค้าขายกับชาวพื้นเมืองตามชายฝั่งทวีปแอฟริกาด้วยการนำเหล้ารัมจากแถบหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนมาแลกเปลี่ยนกับทองคำ งาช้าง เครื่องเทศ เสื้อผ้าจากอินเดีย เครื่องโลหะ มามอบให้แก่หัวหน้าเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกาเพื่อแลกกับทาสโดยนำทาสมายังโลกใหม่
ในศตวรรษที่ 18 การค้าทาสได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วส่วนใหญ่ส่งไปยังบราซิลของโปรตุเกสและอาณานิคมของสเปนในอเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ฉะนั้นชาวยุโรปกับชาติอาณานิคมมีความสัมพันธ์กันเป็นไปเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการค้าขายของชาติตนเป็นสำคัญหรือที่เรียกว่า ลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ที่ถือว่าประเทศเจริญมั่งคั่งต้องพยายามขายให้ได้มากที่สุดและซื้อน้อยที่สุดอาณานิคม จึงมีความสำคัญเป็นทั้งตลาดสำหรับจำหน่ายสินค้าและเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบที่เมืองแม่เข้าควบคุมได้อย่างเต็มที่ ด้านการผูกขาดการค้า