The figure shows when the company w

The figure shows when the company will earn net income or incur a loss. When the sales curve exceeds total costs, the company earns net income (represented by the shaded right side of the X). However, if total sales is too low to exceed total costs, then the company incurs a net loss (the shaded left side of the X).

The higher the sales volume — that is, the more sales volume moves to the right of the graph — the higher the company’s net income.

Dropping numbers into the chart shows exactly how much income can be earned at different sales levels. Assuming Pemulis has a sales price of $15 per unit, a variable cost per unit of $6, and total fixed costs of $300, what happens if Pemulis sells 60 basketballs?

Total sales come to $900 (60 units x $15). Total variable costs multiply to $360 (60 units x $6). Add these total variable costs to total fixed costs of $300 to get total costs of $660.

Total sales ($900) sits on the Total sales line. Total costs ($660) sits on the Total cost line. The difference between these amounts ($240) represents the net income from selling 60 units.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตัวเลขแสดงเมื่อ บริษัท จะได้รับรายได้สุทธิหรือสูญเสีย เมื่อเส้นโค้งการขายเกินกว่าค่าใช้จ่ายรวมของ บริษัท ฯ มีรายได้รายได้สุทธิ (แสดงโดยด้านขวาสีเทาของ x) แต่ถ้ายอดขายรวมต่ำเกินไปจะเกินค่าใช้จ่ายรวมแล้ว บริษัท เกิดผลขาดทุนสุทธิ (ด้านซ้ายสีเทาของ x)

ที่สูงกว่าปริมาณการขาย -. นั่นคือปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจะเคลื่อนไปทางขวาของกราฟ - ที่สูงกว่ากำไรสุทธิของ บริษัท ลดลง

ตัวเลขเป็นกราฟที่แสดงให้เห็นว่าวิธีการที่มีรายได้มากจะได้รับในระดับที่ขายที่แตกต่าง. pemulis สมมติว่ามีราคาขายที่ $ 15 ต่อหน่วยต้นทุนผันแปรต่อหน่วยของ $ 6, และต้นทุนคงที่รวมของ $ 300 เกิดอะไรขึ้นถ้า pemulis ขาย 60 ลูกบาส

ยอดขายรวมมา 900 $ (60 หน่วย x $ 15) ต้นทุนผันแปรทั้งหมดคูณ 360 $ (60 หน่วย x 6 $) เพิ่มค่าใช้จ่ายในตัวแปรเหล่านี้ทั้งหมดจะรวมค่าใช้จ่ายคงที่ของ $ 300 ถึงได้รับค่าใช้จ่ายรวมของ $ 660.

ยอดขายรวม ($ 900) นั่งอยู่บนเส้นยอดขายรวม ค่าใช้จ่ายรวม ($ 660) นั่งอยู่บนเส้นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ความแตกต่างระหว่างจำนวนเงินเหล่านี้ ($ 240) หมายถึงรายได้สุทธิจากการขาย 60 หน่วย

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แสดงตัวเลขเวลาบริษัทจะได้รับกำไรสุทธิ หรือขาดทุนกำไร เมื่อโค้งขายเกินกว่าต้นทุนรวม บริษัทเล่มรายได้สุทธิ (แสดง ด้วยสีเทาด้านขวาของ X) อย่างไรก็ตาม ถ้ายอดขายต่ำเกินไปเกินกว่าต้นทุนรวม แล้วบริษัทต่อขาดทุนสุทธิ (สีเทาด้านซ้ายของ X) การ

สูงปริมาณการขาย — นั่นคือ ปริมาณการขายมากขึ้นย้ายไปด้านขวาของกราฟซึ่งสูงกว่าของบริษัทสุทธิรายได้

ปล่อยตัวเลขในแผนภูมิแสดงว่าสามารถรับรายได้เท่าไรในระดับต่าง ๆ ขาย สมมติว่า Pemulis มีราคาขาย $ 15 ต่อหน่วย ต้นทุนผันแปรต่อหน่วยของ $6 และผลรวมต้นทุนของ $300 เกิดอะไรขึ้นถ้า Pemulis ขาย 60 basketballs คง?

ยอดขายมาที่ $900 (หน่วย 60 x $15) ต้นทุนผันแปรรวมคูณไป $360 (หน่วย 60 x $6) เพิ่มเหล่านี้รวมต้นทุนผันแปรต้นทุนคงที่รวมจะรวมต้นทุนของ $660 $ 300

($900) ยอดขายรวมอยู่ในบรรทัดการขายทั้งหมด ต้นทุนรวม ($660) ตั้งอยู่บนเส้นต้นทุนรวม ผลต่างระหว่างยอดเงินเหล่านี้ ($240) หมายถึงรายได้สุทธิจากการขายหน่วยที่ 60

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

รูปที่จะแสดงเมื่อบริษัทที่จะได้รับรายได้สุทธิหรือขาดทุนที่เกิดขึ้น ปรับตามความโค้งมนเมื่อยอดขายที่เกินกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบริษัทที่ผู้มีรายได้สุทธิ(แสดงโดยทางด้านขวาร่มรื่นของ X ) แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากยอดขายรวมต่ำเกินไปจนไม่สามารถเกินกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วบริษัทฯขาดทุนสุทธิ(ด้านซ้ายร่มรื่นของ X )

ที่สูงกว่า - ยอดขายที่มีระดับเสียงการขายเพิ่มขึ้นที่จะถูกย้ายไปทางขวาของกราฟ - สูงกว่ารายได้สุทธิของบริษัทที่ได้.

ลงหมายเลขในแผนที่จะแสดงได้อย่างไรมากสามารถนำรายได้ที่ได้รับการขายระดับแตกต่างกัน pemulis สันนิษฐานว่ามีการขายราคา$ 15 ต่อชุดราคาประหยัดที่หลากหลายต่อหน่วยของ$ 6 และค่าใช้จ่ายคงที่รวมในราคา$ 300 จะเกิดอะไรขึ้นหาก pemulis จำหน่าย 60 basketballs

หรือไม่?ยอดขายมาถึง$ 900 ( 60 ชุด x 15 ) ค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนทั้งหมดทวีมากขึ้น$ 360 ( 60 ชุด x 6 ) เพิ่มค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนทั้งหมดเหล่านี้ค่าใช้จ่ายคงที่รวมของ$ 300 ในการได้รับค่าใช้จ่ายโดยรวมของ$ 660 .

ยอดขายรวม($ 900 )ตั้งอยู่บนยอดขายรวมสาย ค่าใช้จ่ายทั้งหมด($ 660 )ตั้งอยู่บนเส้นทางสายลดต้นทุนรวม ความแตกต่างระหว่างการ($ 240 )เป็นรายได้สุทธิที่ได้จากการขาย 60 หน่วย