อังกฤษไม่มีดินแดนโพ้นทะเลให้ปกครอง. ตรงกันข้าม สเปนได้ทรัพย์สมบัติมหาศาลจากดินแดนอันกว้างใหญ่ที่พิชิตได้ในอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้. อังกฤษต้องการส่วนแบ่งบ้าง. ดังนั้น เหล่านักผจญภัยจึงแล่นเรือข้ามมหาสมุทรเพื่อแสวงหาชื่อเสียง, ทรัพย์สมบัติ, และเส้นทางการค้าใหม่ ๆ ที่จะไปสู่จีนและตะวันออกไกล. เซอร์ฟรานซิส เดรกกลายเป็นกัปตันเรือคนแรกที่ใช้เรือของตนแล่นไปรอบโลก โดยปล้นเรือบรรทุกสมบัติของสเปนขณะที่เขาสำรวจชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ. เซอร์วอลเตอร์ ราลีท้าทายอำนาจของสเปนในการควบคุมโลกใหม่ โดยที่เขาสนับสนุนการตั้งอาณานิคมบนชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือ. เขาตั้งชื่อดินแดนที่เขาอ้างสิทธิ์ว่าเวอร์จิเนีย เพื่อเป็นเกียรติแด่ราชินีพรหมจารีแห่งอังกฤษ. ถึงแม้ความพยายามจะตั้งอาณานิคมสมัยแรก ๆ นั้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ปลุกความสนใจของอังกฤษให้พยายามอีกในเวลาต่อมา. เมื่ออังกฤษพิชิต “กองเรืออาร์มาดาที่ไม่มีวันพ่ายแพ้” ได้ อังกฤษก็มั่นใจกองทัพเรือของตนมากขึ้นและเอลิซาเบทก็สนับสนุนการเดินทางเพื่อการค้าขายในอีกซีกโลกหนึ่งทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. มีการวางพื้นฐานไว้สำหรับจักรวรรดิอังกฤษซึ่งในที่สุดก็ได้แผ่ไปทั่วโลก.*
ส่วนเรื่องภายในประเทศ ก็มีการสนับสนุนการศึกษา. เปิดโรงเรียนใหม่ ๆ ซึ่งให้โอกาสนักเรียนนักศึกษาได้สัมผัสโลกแห่งวรรณกรรม. ด้วยความกระหายความรู้ด้านวรรณคดี พร้อมกับความก้าวหน้าด้านการพิมพ์ ทำให้เกิดความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม. นั่นคือยุคของวิลเลียม เชกสเปียร์และนักเขียนบทละครผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ. ผู้ชมพากันหลั่งไหลเข้าไปในโรงละครที่เปิดใหม่เพื่อเพลิดเพลินกับการแสดงละคร. กวีเขียนบทร้อยกรองซอนเนตได้ไพเราะจับใจและนักแต่งเพลงได้สร้างดนตรีแนวใหม่. ศิลปินที่มีทักษะได้ระบายสีแต่งหุ่นราชินีและข้าราชสำนักอย่างงดงาม. คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลใหม่ ๆ ตั้งโดดเด่นอยู่ในโบสถ์และในบ้านเรือน. แต่ยุครุ่งเรืองนี้ไม่ยั่งยืน.