ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
ศาสนา
ศาสนาประจำชาติภูฏานเป็นศาสนาพุทธนิกายมหายาน นับถือพระพุทธเจ้าในภาคของพระศากยมุนีและพระโพธิสัตว์ ศาสนาพุทธของชาวภูฏาน เรียกว่า Drukpa Kagyu หรือ Kagyupa เป็นศาสนาที่มีลามะเช่นเดียวกับทิเบต ชาวภูฏานนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 75 (ส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติ Sharchops และ Ngalops) และนับถือศาสนาฮินดูร้อยละ 25 (ส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติ Lhotshams)
ศาสนาพุทธที่ชาวภูฏานนับถือเป็นลัทธิลามะแบบทิเบต ซึ่งเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด ชาวภูฏานมีความยึดมั่นในศาสนาอย่างแน่นแฟ้นกับทั้งให้ความเคารพนับถือพระ ที่มีบทบาทและอิทธิพลมากในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูฏาน จะต้องบวชลูกชายที่อายุครบ 10 ขวบทุกคน เพื่อจะได้เรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนา บางคนที่มีศรัทธาแก่กล้าก็ตัดสินใจบวชเป็นพระไปตลอดชีวิต นอกจากนั้น พระของชาวภูฏานยังมีอิทธิพลและเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้านการบริหารประเทศคณะรัฐมนตรีของภูฏานนั้นกำหนดให้มีพระลามะมีตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีถึง 10 ที่นั่ง ดังนั้นนโยบายการบริหารประเทศของภูฏานจึงเน้นไปที่ศาสนาและศีลธรรมของประชาชนเป็นหลัก
ประมุขของศาสนาพุทธในประเทศภูฏานคือพระสังฆราช เรียกว่า เจเคนโป พระพุทธรูปสำคัญที่ประชาชนชาวภูฏานเคารพนับถือคือ พระศากยมุน(Sakyamuni) นอกจากนี้ยังมีพระโพธิสัตว์ปัทมสัมภวะ หรือกูรู รินโปเช (Padmasambhava หรือ Guru Rinpoche) พระอริยเมตไตรย หรือพระจัมปา (Maitreya หรือ Jampa) พระโพธิสัตว์มัญชุศรี (Manjushri) พระอวโลกิเตศวร (Avalokiteshvara) และพระวัชรปาณี (Vajrapani หรือ Channa Dorji) สำหรับพระลามะนั้น ชาวภูฏานให้ความเคารพบูชาอย่างสูงในท่านลามะ ซับดรุง รินโปเช(Shabdrung Rinpoche,ค.ศ.1594-1651) ในฐานะพระนักบุญคนสำคัญผู้เป็นต้นกำเนิดประเพณีการเต้นรำสวมหน้ากาก (เซซู) ประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในภูฏาน (คำว่า รินโปเช หมายถึง ลามะที่กลับชาติมาเกิดใหม่)
ชาวภูฏานเชื่อว่าศาสนาจะนำพาความสุขมาให้พวกเขามากกว่าลัทธิบริโภคนิยม ประกอบกับรัฐบาลมุ่งให้ประชาชนตระหนักว่าคุณภาพชีวิตอยู่ที่จิตใจไม่ใช่วัตถุ ชาวภูฏานเป็นคนเคร่งศาสนา หลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในภูฏานการจับปลาล่าสัตว์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากจะจับกินกันในครัวเรือนต้องได้รับอนุญาต และต้องละเว้นจับปลาในฤดูวางไข่ ส่วนเนื้อหมู วัว ไก่ มักจะเลี้ยงและฆ่าเพื่อรับประทานในครอบครัวเท่านั้น ไม่ใช่มุ่งทำเป็นการค้า เนื้อสัตว์ที่มีขายอยู่ในตลาดสดเกือบทั้งหมดเป็นเนื้อชำแหละที่นำเข้ามาจากอินเดีย
ศิลปะและวัฒนธรรม
ด้านศิลปะ
ไม่ว่าจะเป็นภาษาและวรรณคดี หรืองานศิลปะประเภทต่างๆของภูฏาน เช่น งานหัตถกรรม สถาปัตยกรรม และภาพจิตรกรรมต่างๆที่เป็นภาพเขียนสีหรือผ้าปัก ล้วนเป็นภาพพุทธประวัติและภาพพุทธศิลป์ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพขนาดใหญ่ ทำด้วยผ้า ที่เรียกว่า ทังกา-thangka (เหมือนทังกาของทิเบต) ทังกาเป็นงานศิลปะที่ถ่ายทอดและสะท้อนคำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น สำหรับสถาปัตยกรรมแบบภูฏาน ปรากฏอยู่ในลักษณะการก่อสร้างและการตกแต่งวัดวาอาราม พระราชวัง ป้อมปราการ สะพานข้ามแม่น้ำและบ้านเรือน ซึ่งมีรูปทรงอาคาร (ทำด้วยหิน) กับการใช้สีทาผนัง (ส่วนใหญ่ทาสีขาว) เพดาน หลังคาและบานประตูหน้าต่าง (ทำด้วยไม้) เป็นลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมภูฏาน
ศิลปะการแสดงและดนตรี
ภูฏานได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่มีศาสนาพุทธเป็นแก่นอย่างเด่นชัด ทั้งศิลปะพื้นบ้านและศิลปะระดับชาติ เมื่อพระปัทมสัมภวะหรือกูรู รินโปเชนำศาสนาพุทธเข้ามาในภูฏานนั้น ท่านต้องต่อสู้กับภูตผีปีศาจที่ชาวพื้นเมืองนับถือ จนสามารถเอาชนะปีศาจต่างๆได้ ขาวพื้นเมืองจึงเลื่อมใสศรัทธาด้วยกุศโลบายของท่านปัทมสัมภาวะ ท่านได้ผนวกเอาภูตผีต่างๆมาทำหน้าที่เป็นธรรมบาลในพระพุทธศาสนา ให้ชาวบ้านเห็นว่าศาสนาพุทธมีอำนาจอยู่เหนือวิญญาณชั่วร้ายทั้งปวง การทำพิธีทางศาสนาของชาวพุทธในภูฏานจึงต้องมีการร่ายรำของเหล่าภูติผีปีศาจที่มีท่าทางน่าเกลียดน่ากลัว เช่น ระบำกลอง และระบำสวมหน้ากาก เป็นต้น งานแสดงทางศิลปะเหล่านี้จัดขึ้นเป็นงานใหญ่ในเทศกาลประจำปีสำคัญๆของภูฏาน
ด้านวัฒนธรรม
ชาวภูฏานเป็นชาวพุทธที่สุภาพ อ่อนน้อม มีน้ำใจ และนับถือผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นมิตรและยินดีให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูฏานสมถะและเรียบง่าย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศยากจน แต่ชาวภูฏานก็มีความสุขและอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่นิยมการเบียดเบียนหรือรบกวนผู้อื่น
ภูฏานเป็นประเทศเดียวในโลกที่ห้ามไม่ให้มีการซื้อขายและสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ หากฝ่าฝืนถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งยังมีกฎหมายห้ามนำเข้าบุหรี่ (ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่นำบุหรี่เข้ามาสูบเอง แต่ก็อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้เฉพาะสถานที่บางแห่งเท่านั้น) การตรวจเจอที่ศุลกากรจะมีการปรับภาษีศุลกากรถึง 100 เปอร์เซนต์เลยนะคะ จากการได้ท่้องเที่ยวในภูฏาณจะสังเกตเห็นว่าไม่มีชาวภูฏาณท่านใดที่สูบบุหรี่เลยค่ะหรือมีก็น้่อยมากๆ เพราะกฏหมายเขาค่อนข้างเข้มงวดค่ะ ในด้านการสื่อสาร รัฐบาลมีมาตรการควบคุมสื่อทุกชนิด