โฟร์โมสต์นั้นได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2510 ในชื่อว่า บริษัทอุตสาหกรรมนมพระนคร จำกัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท โฟร์โมสต์ อาหารนม (กรุงเทพฯ) จำกัด และในที่สุดก็ได้ร่วมทุนกับบริษัท ฟรีสแลนด์ โคเบอร์โค แดรี่ฟู้ด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทอาหารนมรายใหญ่ของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีประสบการณ์มากว่า 100 ปี และมีเครือบริษัทกว่า 20 สาขาทั่วโลก ซึ่งตรงจุดนี้สามารถมั่นใจได้ว่าโฟร์โมสต์สามารถเป็นผู้นำการพัฒนาอุตสาหกรรมนมในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามจากสภาพแวดล้อมโดยมีปัจจัยด้านลบที่รุมเร้าทำให้ในปลายปี 2008 โฟร์โมสต์ได้หันมาทำการตลาดนมวัวอย่างเอาจริงเอาจัง โดยมีแนวคิดที่จะพยายามผลักดันให้คนไทยหันมาดื่มนมเพิ่มมากขึ้น ด้วยการจัดการสื่อสารผ่านสื่อโฆษณาและกิจกรรมต่างๆ หากแต่เมื่อดูแล้วหลายคนคงเกิดคำถามว่า “ทำไมโฟร์โมสต์จึงต้องมาทำการสื่อสารการตลาดในลักษณะนี้” (ทำให้คนไทยดื่มนม)
อาจจะเป็นภาพที่ดูสวยหรูในตลาดนม หากลองมองลึกลงไปจะพบกับปัญหามากมาย จากมูลค่าการเติบโตที่สูงขึ้น แท้จริงแล้วอาจเป็นแค่เพียงภาพลวงตา เพราะมูลค่าตลาดที่เพิ่มมากขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อปลายปี 2008 กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ขึ้นราคานมพร้อมดื่มอีกกล่องละ 45-58 สตางค์ ทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่หากมองในเชิงปริมาณ ก็แทบไม่มีผลต่อตลาดแต่อย่างใด และอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาขายมีการเปลี่ยนแปลงก็คือ ต้นทุนการผลิตนมนั้นสูงขึ้นด้วย
จากบทความในนิตยสาร Positioning พบว่า ปริมาณการดื่มนมของคนไทยมีเพียง 12 ลิตรต่อคนต่อปี(14.19 ลิตรต่อคนต่อปี, กระทรวงเกษตร) ในขณะที่เครื่องดื่มอื่นๆ อาทิเช่น กลุ่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปริมาณการดื่มมากถึง 15 ลิตรต่อคนต่อปี ทั้งที่บางชนิดให้โทษกับร่างกาย หรือมีประโยชน์น้อยกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งทางภาครัฐและเอกชนต้องหันกลับมาพิจารณาว่าเหตุใด คนไทยจึงไม่นิยมดื่มนม ทั้งๆที่รัฐและเอกชนเองต่างมีโครงการสนับสนุนให้คนไทยดื่มนมเรื่อยมาเช่น โครงการนมโรงเรียน โครงการของ สสส. เป็นต้น