The above figure shows the architec

The above figure shows the architecture of two-tier. Here the direct communication between client and server, there is no intermediate between client and server.

Let’s take a look of real life example of Railway Reservation two-tier architecture:

Let’s consider that first Person is making Railway Reservation for Mumbai to Delhi by Mumbai Express at Counter No. 1 and at same time second Person is also try to make Railway reservation of Mumbai to Delhi from Counter No. 2

If staff from Counter No. 1 is searching for availability into system & at the same staff from Counter No. 2 is also looking for availability of ticket for same day then in this case there is might be good change of confusion and chaos occurs. There might be chance of lock the Railway reservation that reserves the first.

But reservations can be making anywhere from the India, then how it is handled?

So here if there is difference of micro seconds for making reservation by staff from Counter No. 1 & 2 then second request is added into queue. So in this case the Staff is entering data to Client Application and reservation request is sent to the database. The database sends back the information/data to the client.

In this application the Staff user is an end user who is using Railway reservation application software. He gives inputs to the application software and it sends requests to Server. So here both Database and Server are incorporated with each other, so this technology is called as “Client-Server Technology“.

The Two-tier architecture is divided into two parts:

1) Client Application (Client Tier)
2) Database (Data Tier)

On client application side the code is written for saving the data in the SQL server database. Client sends the request to server and it process the request & send back with data. The main problem of two tier architecture is the server cannot respond multiple request same time, as a result it cause a data integrity issue.

Advantages:

Easy to maintain and modification is bit easy
Communication is faster
Disadvantages:

In two tier architecture application performance will be degrade upon increasing the users.
Cost-ineffective
- See more at: http://www.softwaretestingclass.com/what-is-difference-between-two-tier-and-three-tier-architecture/#sthash.liLyFj1n.dpuf

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตัวเลขข้างต้นแสดงสถาปัตยกรรมของชั้นสอง ที่นี่การสื่อสารโดยตรงระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ เป็นตัวกลางระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ไม่ลองมาดูตัวอย่างชีวิตจริงของจองรถไฟชั้นสองสถาปัตยกรรม:ลองพิจารณาว่า บุคคลแรกเป็นจองรถไฟในมุมไบสู่เดลีโดยมุมไบด่วนที่เคาน์เตอร์หมายเลข 1 และในเวลาเดียวกันสองคนก็พยายามทำจองรถไฟมุมไบเดลีจากเคาน์เตอร์หมายเลข 2หากเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์หมายเลข 1 ค้นหาความพร้อมใช้งานในระบบที่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์หมายเลข 2 เหมือนกันคือหาสอบตั๋ววันเดียว แล้ว ในกรณีนี้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงที่ดีของความสับสน และความวุ่นวายเกิดขึ้น อาจมีโอกาสล็อกการจองรถไฟที่จองก่อนแต่สามารถทำการจองใด ๆ จากอินเดีย แล้ววิธีการจะจัดการดังนั้นที่นี่ถ้ามีความแตกต่างของไมโครวินาทีสำหรับการทำการจองโดยเจ้าหน้าที่จากเคาน์เตอร์หมายเลข 1 และ 2 ขอสองเพิ่มลงในคิว ดังนั้นในกรณีนี้พนักงานจะป้อนข้อมูลที่แอพลิเคชันไคลเอนต์ และสำรองส่งไป ฐานข้อมูลกลับส่งข้อมูล/ข้อมูลไปยังไคลเอนต์ในโปรแกรมประยุกต์นี้ ผู้ใช้บริการเป็นผู้ที่ใช้โปรแกรมประยุกต์สำรองรถไฟ เขาให้อินพุตไปยังซอฟต์แวร์แอพลิเคชัน และส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นที่นี่ทั้งเซิร์ฟเวอร์และฐานข้อมูลที่รวมกัน ดังนั้นเทคโนโลยีนี้ถูกเรียกว่า "ไคลเอ็นต์-เซิร์ฟเวอร์เทคโนโลยี"สถาปัตยกรรมแบบสองระดับจะแบ่งออกเป็นสองส่วน:1) ไคลเอนต์โปรแกรมประยุกต์ (ไคลเอนต์ระดับ)2) ฐานข้อมูล (ข้อมูลระดับ)ด้านแอพลิเคชันไคลเอนต์ รหัสถูกเขียนสำหรับการบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูล SQL server ไคลเอนต์ส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ และจะประมวลผลการร้องขอ และส่งกลับ ด้วยข้อมูล ปัญหาหลักของสถาปัตยกรรมชั้นสองเป็นเซิร์ฟเวอร์ไม่ตอบสนองหลายขอกัน ดังนั้น มันทำให้เกิดปัญหาความสมบูรณ์ของข้อมูลข้อดี:ง่ายต่อการรักษา และแก้ไขได้ง่ายมากสื่อสารได้เร็วข้อเสีย:ในโปรแกรมประยุกต์สถาปัตยกรรมสองระดับ ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเพิ่มผู้ใช้ต้นทุนไม่มีประสิทธิภาพ-ดูเพิ่มเติมได้ที่: http://www.softwaretestingclass.com/what-is-difference-between-two-tier-and-three-tier-architecture/#sthash.liLyFj1n.dpuf

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมของสองชั้น นี่คือการสื่อสารโดยตรงระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ไม่มีตรงกลางระหว่างไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์. ลองมาดูตัวอย่างชีวิตจริงของการจองรถไฟสถาปัตยกรรมสองชั้น: ลองพิจารณาว่าคนแรกคือการทำให้การจองรถไฟมุมไบนิวเดลีมุมไบด่วน ที่เคาน์เตอร์หมายเลข 1 และในเวลาเดียวกันสองคนก็ยังพยายามที่จะทำให้การสำรองห้องพักทางรถไฟของเมืองมุมไบนิวเดลีจากเคาน์เตอร์ฉบับที่ 2 หากเจ้าหน้าที่จากเคาน์เตอร์หมายเลข 1 คือการค้นหาความพร้อมในระบบและพนักงานที่เคาน์เตอร์เดียวกันจากฉบับที่ 2 ยังมองหาพร้อมของตั๋วสำหรับวันเดียวกันนั้นในกรณีนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีของความสับสนและความวุ่นวายเกิดขึ้น อาจจะมีโอกาสในการสำรองห้องพักล็อครถไฟที่ขอสงวนแรก. แต่จองสามารถทำที่ใดก็ได้จากอินเดียแล้ววิธีการที่จะจัดการ? ดังนั้นที่นี่ถ้ามีความแตกต่างของการวินาทีขนาดเล็กสำหรับการสำรองห้องพักโดยเจ้าหน้าที่จากเคาน์เตอร์หมายเลข 1 และ 2 คำขอสองแล้วจะถูกเพิ่มลงในคิว ดังนั้นในกรณีนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าสู่การประยุกต์ใช้ข้อมูลลูกค้าและการคำขอการจองจะถูกส่งไปยังฐานข้อมูล ฐานข้อมูลส่งกลับข้อมูล / ข้อมูลให้กับลูกค้า. ในโปรแกรมนี้ผู้ใช้พนักงานเป็นผู้ใช้ที่สิ้นสุดผู้ที่ใช้ซอฟต์แวร์โปรแกรมสำรองห้องพักทางรถไฟ เขาให้ปัจจัยการผลิตซอฟแวร์ประยุกต์ใช้และมันจะส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นที่นี่ทั้งฐานข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์จะรวมกับแต่ละอื่น ๆ เพื่อให้เทคโนโลยีนี้จะเรียกว่าเป็น "ลูกค้าเซิร์ฟเวอร์เทคโนโลยี". สถาปัตยกรรมสองชั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ1) การประยุกต์ใช้ไคลเอนต์ (Client ที่ Tier) 2) ฐานข้อมูล (ชั้นข้อมูล ) ในด้านโปรแกรมไคลเอนต์รหัสที่เขียนสำหรับการบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูล SQL Server ไคลเอนต์ส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์และประมวลผลการร้องขอและส่งกลับมาพร้อมกับข้อมูล ปัญหาหลักของสถาปัตยกรรมสองชั้นเป็นเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถตอบสนองหลายคำขอเวลาเดียวกันเป็นผลทำให้เกิดปัญหาความสมบูรณ์ของข้อมูล. ข้อดี: ง่ายต่อการบำรุงรักษาและการปรับเปลี่ยนเป็นบิตง่ายสื่อสารได้เร็วขึ้นข้อเสีย: สองประสิทธิภาพของโปรแกรมสถาปัตยกรรมชั้นจะเป็น ลดลงเมื่อผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น. ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ผล- ดูเพิ่มเติมได้ที่:

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

รูปข้างต้นแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมสองชั้น . นี่คือการสื่อสารโดยตรงระหว่างลูกค้าและเซิร์ฟเวอร์ไม่มีขั้นกลางระหว่างลูกค้าและเซิร์ฟเวอร์ .

ลองดูตัวอย่างชีวิตจริงของรถไฟสำรองห้องพักแบบสองชั้นสถาปัตยกรรม :

มาพิจารณาว่า คนแรก คือ การจองรถไฟมุมไบมุมไบเดลลี โดยแสดงที่เคาน์เตอร์ค่ะ1 และในเวลาเดียวกัน 2 คน ยังพยายามที่จะให้รถไฟจองห้องพักของมุมไบเดลลีจากเคาน์เตอร์หมายเลข 2

ถ้าเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์หมายเลข 1 คือการค้นหาห้องพักใน&ระบบที่ทีมงานเดียวกันจากเคาน์เตอร์หมายเลข 2 ยังหาห้องพักของตั๋วในวันเดียวกันแล้ว ในกรณีนี้มันอาจจะเปลี่ยน ที่ดีของความสับสนและความโกลาหลเกิดขึ้นอาจจะมีโอกาสล็อครถไฟสำรองที่สำรองแรก

แต่การจองสามารถทำที่ใดก็ได้จากอินเดีย แล้วอย่างไรจะจัดการ ?

นี่ถ้าไม่มีความแตกต่างของไมโครวินาทีสำหรับการจองห้องพัก โดยเจ้าหน้าที่จากเคาน์เตอร์หมายเลข 1 & 2 ที่สองขอเพิ่มลงในคิวดังนั้นในกรณีนี้พนักงานป้อนข้อมูลไปยังโปรแกรมประยุกต์ไคลเอ็นต์และขอจองถูกส่งไปยังฐานข้อมูล ฐานข้อมูลจะส่งกลับข้อมูล / ข้อมูลไปยังลูกค้า ในงานนี้

พนักงานผู้ใช้เป็นผู้ใช้ที่ใช้รถไฟโปรแกรมซอฟต์แวร์สำรอง เขาให้ข้อมูลซอฟต์แวร์โปรแกรมและส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ดังนั้นที่นี่ทั้งฐานข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์จะรวมกับแต่ละอื่น ๆ ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จะเรียกว่าเป็น " ไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ เทคโนโลยี " .

สองชั้นสถาปัตยกรรมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1 )

ใบสมัครลูกค้า ( Tier Client )
2 ) ฐานข้อมูล ( บอกบุญไม่รับ )

ข้างใบสมัครลูกค้ารหัสเขียน สำหรับการบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูล SQL Server .ไคลเอนต์ส่งการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์และกระบวนการขอ&ส่งกลับด้วยข้อมูล ปัญหาหลักของสองชั้นสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถตอบสนองการร้องขอหลายเวลาเดียวกัน เป็นผลทำให้เกิดปัญหาความสมบูรณ์ของข้อมูล ข้อดี :



ง่ายต่อการรักษาและการเปลี่ยนแปลง คือ การสื่อสารง่ายๆ

:

เป็นข้อเสียได้เร็วขึ้นในสองชั้นสถาปัตยกรรมโปรแกรมประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเพิ่มผู้ใช้ ค่า
-
( ดูเพิ่มเติมที่ : http : / / www.softwaretestingclass . com / อะไรคือความแตกต่างระหว่างระดับสองและสามระดับสถาปัตยกรรม / # sthash.lilyfj1n.dpuf