ประวัติกีฬาเทนนิส ความเป็นมาของ กีฬาเทนนิส (Tennis) มีหลักฐานพบว่า ประ การแปล - ประวัติกีฬาเทนนิส ความเป็นมาของ กีฬาเทนนิส (Tennis) มีหลักฐานพบว่า ประ ไทย วิธีการพูด

ประวัติกีฬาเทนนิส ความเป็นมาของ กีฬ

ประวัติกีฬาเทนนิส ความเป็นมาของ กีฬาเทนนิส (Tennis)


มีหลักฐานพบว่า ประมาณศตวรรษที่ 13 ประเทศฝรั่งเศสมีการเล่นเกมส์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกีฬาเทนนิสเรียกว่า Le Jeu Du Paume (เจอเดอปูม) หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า The Game of the Palm (เกมส์ของฝ่ามือ) เป็นกีฬาของชนชั้นสูงที่เล่นในร่มโดยใช้ฝ่ามือตีลูกบอลทรงกลม หลังจากนั้นจึงมีการใช้เเร็คเก็ตเเทนฝ่ามือ

คำว่า La Journee (ลาจูเน่) ภาษาฝรั่งเศสโบราณแปลว่าหนึ่งวัน ในการแข่งขันกีฬาแมทช์สมัยนั้น จะยึดเอาจำนวนนาทีใน 1 ชั่วโมงและจำนวนชั่วโมงใน 1 วันเป็นเกณฑ์ ดังนั้น กีฬาแมทช์หนึ่ง จะมี 24 เกม ในแต่ละเกมจะมี 4 แต้มและแต้มละ 15 คะแนน (ในหนึ่งชั่วโมง สามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงๆ ละ 15 นาที) เมื่อนักกีฬาเล่นได้แต้ม 45 คะแนนเท่ากัน จะต้องเล่นให้ได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะ ดังนั้นถ้าเล่นได้แต้ม 45 เท่ากัน ต้องเล่นอีก 2 แต้มคือ 15 และ 15 ซึ่งเมื่อรวมคะแนนทั้งหมดเข้าด้วยกัน คะแนนจะเกิน 60 (45 + 15 + 15 = 75) จึงตกลงเปลี่ยนคะแนนเมื่อแต้มเท่าจาก 45 : 45 คะแนน มาเป็น 40 : 40 คะแนน แล้วแต้มต่อไปจะเป็นแต้มละ 10 คะแนน (40 + 10 + 10) และถ้าเกิดได้คะแนน 50 : 50 เท่ากัน ต้องเล่นกันใหม่จนกว่าจะได้ 2 แต้มติดกัน จึงเป็นผู้ชนะ เช่นเดียวกับการเล่นเกม เมื่อได้ 23 เกมเท่ากัน จะแพ้ชนะกัน ต้องได้ 2 เกมติดกัน ซึ่งรวมแล้วจะเกิน 24 เกม จึงลดเป็นเมื่อได้ 22 เกมเท่ากันแล้วต้องได้อีก 2 เกมติดต่อกันจึงเป็นฝ่ายชนะ แต่การเล่นนานถึง 24 เกม ใช้เวลานานมาก ดังนั้นจึงค่อยๆ ลดลงจาก 24 เกม เหลือ 12 เกม จนในที่สุดเหลือ 6 เกมดังเช่นในปัจจุบัน

ในตอนต้นศตวรรษที่ 17 มีการสร้างคอร์ทนับร้อยในกรุงปารีสและกีฬานี้เป็นที่นิยมมาก จนกระทั่งนำไปสู่การพนัน ทำให้กีฬานี้ถูกห้ามเล่นในที่สาธารณะแต่อนุญาติให้เล่นได้ในกลุ่มสังคมชั้นสูง และในตอนปลายศตวรรษที่ 18 คำว่า เตอเน่ (Tenez) ก็ปรากฎขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะชาวอังกฤษพยายามออกเสียงตามภาษาฝรั่งเศสโบราณ ซึ่งคำว่า "เตอเน่" แปลว่าเล่นหรือจับจึงเพี้ยนไป ในที่สุดกลายเป็น เทนนิส (Tennis)

ตอนปลายศตวรรษที่ 16 Le Jeu Du Paume ถูกนำเข้าไปในประเทศอังกฤษ จึงนับได้ว่าประเทศอังกฤษมีส่วนในการพัฒนากีฬานี้ ในปี ค.ศ. 1327 - 1377 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้สร้างคอร์ทขึ้นภายในพระราชวังวินเซอร์ และในปี ค.ศ. 1414 เจ้าชาย Dauphin แห่งฝรั่งเศส ได้ถวายของขวัญแก่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เป็นลูกบอลสำหรับใช้เล่นเกมส์นี้ หลักฐานการถวายของขวัญครั้งนี้ ปรากฏอยู่ในบทละครของเชคสเปียร์เรื่องพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ในภาค (Act) ที่ 1, ฉาก (Scene) ที่ 2, บรรทัดที่ 261-262 ดังนี้

"When we have match'd our rackets to these balls,
We will in France (by God's grace) play a set . . . ."

หลังจากการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส Le Jeu Du Paume ก็สูญหายไปพร้อมกับกลุ่มชนชั้นสูง แต่ในประเทศอังกฤษยังคงมีการเล่นกีฬานี้อยู่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1874 นายพันตรี วอลเตอร์ คล็อปตัน วิงฟิลด์ (Major Walter Clopton Wingfield) ได้ดัดแปลงการเล่นมาจากกีฬาเทนนิสซึ่งแต่เดิมเล่นกันในร่มมาเล่นกันกลางแจ้ง และเรียกชื่อว่า Sphairistike แปลว่า Play ในภาษากรีก

อุปกรณ์การเล่นต่างๆ ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ตามกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วย เสา ตาข่าย ลูกบอล ไม้แร็กเกตและกติกาการเล่น สนามเทนนิสของเขามีลักษณะตรงกลางแคบแต่ทางด้านท้ายสนามผายออก คล้ายนาฬิกาทราย สำหรับตาข่ายที่ใช้กั้นตรงกลางสูง 7 ฟุตเหมือนตาข่ายแบดมินตัน

ในระยะต่อมากีฬาเทนนิสเป็นที่นิยมและเล่นกันทั่วทั้งประเทศอังกฤษ แต่ละแห่งก็ตั้งกฎเกณฑ์และกติกาของตนเองขึ้น ตาข่ายที่กั้นกลางสนามก็เลื่อนจากที่สูงมาตั้งบนพื้น ในปี ค.ศ. 1875 สโมสรแมรี่ลีบอน คริกเกต (The Marylebone Cricket Club) ซึ่งเป็นสโมสรที่สำคัญในการดูแลมาตรฐานของเกมส์กีฬาต่างๆ และได้รับการสนับสนุนจากสโมสรออลอิงแลนด์โครเกท์ (The All England Croquet Club, ก่อตั้งเมื่อปี 1868 อยู่ชานเมืองของกรุงลอนดอนที่มีชื่อว่า Wimbledon) ได้พยายามเข้ามามีบทบาทในการควบคุมมาตรฐานของกีฬานี้ และได้ตั้งกติกาลอนเทนนิสขึ้นมาใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจากของพันตรีวิงฟิลด์ ทำให้คนอังกฤษหันมาเล่นเทนนิสกันมากขึ้น มีการสร้างสนามเทนนิสขึ้นทั่ว ๆ ไป และในปี ค.ศ. 1877 ได้มีการจัดการแข่งขันเทนนิสชิงชนะเลิศแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก

ปัจจุบันสิ่งที่เป็นของพันตรีวิงฟิลด์ที่เหลืออยู่ให้เห็นได้แก่ อุปกรณ์การเล่นที่เป็นตาข่าย กับชื่อคำว่า "เทนนิส" เท่านั้น นอกจากนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งสิ้นรวมทั้งคอร์ท กติกาการเล่นและวิธีนับคะแนน พันตรีวิงฟิลด์จึงเปรียบเสมือนบิดาแห่งวงการเทนนิสโลก รูปปั้นของพันตรีวิงฟิลด์ ตั้งอยู่ที่ลอนเทนนิสสมาคมแห่งอังกฤษ

จากหลักฐานที่บันทึกส่วนใหญ่ พบว่า แมรี่ เอาเทอร์บริดจ์ (Mary Outerbridge) ได้ไปพบกีฬาเทนนิสที่เบอร์มิวดา (Bermuda) และในปี 1874 ได้นำอุปกรณ์และวิธีการเล่นกีฬานี้มาเผยแพร่ในประเทศอเมริกา โดยเล่นกันที่ The Staten Islang Cricket and Baseball Club รัฐนิวยอร์ค แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ Tom Todd ได้บันทึกไว้ว่าเป็น Dr. James Dwight เป็นผู้นำกีฬาเทนนิสเข้ามายังประเทศอเมริกาในตอนต้นของปีเดียวกัน ที่จริงแล้วก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นคนแรก อย่างไรก็ตาม Mary Outerbridge เป็นคนที่พยายามผลักดันกีฬาเทนนิสในรัฐนิวยอร์ค ส่วน Dr. James Dwight แพทย์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด (Harvard Medical School) เป็นผู้ที่บทบาทสำคัญต่อวงการเทนนิสของอเมริกาและได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งกีฬาเทนนิสอเมริกา (Father of Tennis U.S.) Dwight ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา แต่กลับทุ่มเทเวลาให้กับเทนนิส โดยเป็นผู้ฝึกสอนแชมป์ชายเดี่ยวคนแรกของอเมริกา Dick Sears และเล่นคู่กับ Sears จนได้ตำแหน่งชนะเลิศประเภทชายคู่ในรายการ U.S. Open

กีฬาเทนนิสได้ถูกบรรจุอยู่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคตั้งแต่ครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ (ปี 1896) เรื่อยมาจนถึงการแข่งขันโอลิมปิคที่กรุงปารีสในปี 1924 หลังจากนั้นก็ได้ถูกยกเลิกไปและได้ถูกบรรจุอยู่ในกีฬาโอลิมปิคอีกในปี 1988 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี

ปี 1900 เกมส์การเล่นเทนนิสได้พัฒนาขึ้นมาก Renshaws เป็นผู้เริ่มการขึ้นเล่นหน้าเน็ต, Lawford ใช้ลูกท็อปสปิน (Topspin), Dwight Davis ผู้คิดวิธีการเสิร์ฟแบบอเมริกันทวิส (American Twist) ได้ให้ถ้วยรางวัลสำหรับการแข่งขันประเภททีมระหว่างอังกฤษกับอเมริกา ซึ่งต่อมาได้เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นเข้าร่วมการแข่งขันและเป็นรายการแข่งขันประเภททีมชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า การแข่งขันเดวิสคัพ (Davis Cup)

ปี 1913 ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ในสมัยนั้นเรียกว่า International Lawn Tennis Federation - ILTF, ปั
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติกีฬาเทนนิสความเป็นมาของกีฬาเทนนิส (เทนนิส) มีหลักฐานพบว่าประมาณศตวรรษที่ 13 ประเทศฝรั่งเศสมีการเล่นเกมส์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกีฬาเทนนิสเรียกว่า Le Jeu Du Paume (เจอเดอปูม) หรือเป็นภาษาอังกฤษว่าเกมหลังจากนั้นจึงมีการใช้เเร็คเก็ตเเทนฝ่ามือเป็นกีฬาของชนชั้นสูงที่เล่นในร่มโดยใช้ฝ่ามือตีลูกบอลทรงกลมปาล์ม (เกมส์ของฝ่ามือ)คำว่า La Journee (ลาจูเน่) ภาษาฝรั่งเศสโบราณแปลว่าหนึ่งวันในการแข่งขันกีฬาแมทช์สมัยนั้นจะยึดเอาจำนวนนาทีใน 1 ชั่วโมงและจำนวนชั่วโมงใน 1 วันเป็นเกณฑ์ดังนั้นกีฬาแมทช์หนึ่งจะมี 24 เกมในแต่ละเกมจะมี 4 แต้มและแต้มละ 15 คะแนน (ในหนึ่งชั่วโมงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ๆล่ะ 15 นาที) เมื่อนักกีฬาเล่นได้แต้ม 45 คะแนนเท่ากันจะต้องเล่นให้ได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะดังนั้นถ้าเล่นได้แต้ม 45 เท่ากันต้องเล่นอีก 2 แต้มคือ 15 และ 15 ซึ่งเมื่อรวมคะแนนทั้งหมดเข้าด้วยกันคะแนนจะเกิน 60 (45 + 15 + 15 = 75) จึงตกลงเปลี่ยนคะแนนเมื่อแต้มเท่าจาก 45: 45 คะแนนมาเป็น 40:40 คะแนนแล้วแต้มต่อไปจะเป็นแต้มละ 10 คะแนน (40 + 10 + 10) และถ้าเกิดได้คะแนน 50:50 เท่ากันต้องเล่นกันใหม่จนกว่าจะได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะเช่นเดียวกับการเล่นเกมเมื่อได้ 23 เกมเท่ากันจะแพ้ชนะกันต้องได้ 2 เกมติดกันซึ่งรวมแล้วจะเกิน 24 เกมจึงลดเป็นเมื่อได้ 22 เกมเท่ากันแล้วต้องได้อีก 2 เกมติดต่อกันจึงเป็นฝ่ายชนะแต่การเล่นนานถึง 24 เกมใช้เวลานานมากดังนั้นจึงค่อย ๆ ลดลงจาก 24 เกมเหลือ 12 เกมจนในที่สุดเหลือ 6 เกมดังเช่นในปัจจุบันในตอนต้นศตวรรษที่ 17 มีการสร้างคอร์ทนับร้อยในกรุงปารีสและกีฬานี้เป็นที่นิยมมากจนกระทั่งนำไปสู่การพนันทำให้กีฬานี้ถูกห้ามเล่นในที่สาธารณะแต่อนุญาติให้เล่นได้ในกลุ่มสังคมชั้นสูงและในตอนปลายศตวรรษที่ 18 คำว่าเตอเน่ (Tenez) ก็ปรากฎขึ้นบางทีอาจเป็นเพราะชาวอังกฤษพยายามออกเสียงตามภาษาฝรั่งเศสโบราณซึ่งคำว่า "เตอเน่" แปลว่าเล่นหรือจับจึงเพี้ยนไปในที่สุดกลายเป็นเทนนิส (เทนนิส)ตอนปลายศตวรรษที่ 16 Le Jeu Du Paume ถูกนำเข้าไปในประเทศอังกฤษจึงนับได้ว่าประเทศอังกฤษมีส่วนในการพัฒนากีฬานี้ในปีค.ศ. 1327-1377 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้สร้างคอร์ทขึ้นภายในพระราชวังวินเซอร์และในปีค.ศ. 1414 เจ้าชายของปลาโลมาแห่งฝรั่งเศสได้ถวายของขวัญแก่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เป็นลูกบอลสำหรับใช้เล่นเกมส์นี้หลักฐานการถวายของขวัญครั้งนี้ปรากฏอยู่ในบทละครของเชคสเปียร์เรื่องพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ในภาค (พระราชบัญญัติ) 1 ฉาก (ฉาก) 2 ดังนี้บรรทัดที่ 261-262 "เมื่อเรามีตรงมีของเราเพื่ให้ลูกเหล่านี้เราจะในฝรั่งเศส (โดยพระคุณของพระเจ้า) เล่นชุด..." หลังจากการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส Le Jeu Du Paume ก็สูญหายไปพร้อมกับกลุ่มชนชั้นสูงแต่ในประเทศอังกฤษยังคงมีการเล่นกีฬานี้อยู่จนกระทั่งในปีค.ศ. 1874 นายพันตรีวอลเตอร์คล็อปตันวิงฟิลด์ (วิชา Walter Clopton Wingfield) ได้ดัดแปลงการเล่นมาจากกีฬาเทนนิสซึ่งแต่เดิมเล่นกันในร่มมาเล่นกันกลางแจ้งและเรียกชื่อว่า Sphairistike แปลว่าเล่นในภาษากรีกอุปกรณ์การเล่นต่าง ๆ ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ตามกฎหมายซึ่งประกอบด้วยเสาตาข่ายลูกบอลไม้แร็กเกตและกติกาการเล่นสนามเทนนิสของเขามีลักษณะตรงกลางแคบแต่ทางด้านท้ายสนามผายออกคล้ายนาฬิกาทรายสำหรับตาข่ายที่ใช้กั้นตรงกลางสูง 7 ฟุตเหมือนตาข่ายแบดมินตันในระยะต่อมากีฬาเทนนิสเป็นที่นิยมและเล่นกันทั่วทั้งประเทศอังกฤษแต่ละแห่งก็ตั้งกฎเกณฑ์และกติกาของตนเองขึ้นตาข่ายที่กั้นกลางสนามก็เลื่อนจากที่สูงมาตั้งบนพื้นในปีค.ศ. 1875 สโมสรแมรี่ลีบอนคริกเกต (สโมสรคริกเก็ตทวิค) ซึ่งเป็นสโมสรที่สำคัญในการดูแลมาตรฐานของเกมส์กีฬาต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนจากสโมสรออลอิงแลนด์โครเกท์ (ทั้งหมดอังกฤษ Croquet Club วิมเบิลดัน 1868 อยู่ชานเมืองของกรุงลอนดอนที่มีชื่อว่าก่อตั้งเมื่อปี) ได้พยายามเข้ามามีบทบาทในการควบคุมมาตรฐานของกีฬานี้และได้ตั้งกติกาลอนเทนนิสขึ้นมาใหม่ซึ่งแตกต่างไปจากของพันตรีวิงฟิลด์ทำให้คนอังกฤษหันมาเล่นเทนนิสกันมากขึ้นมีการสร้างสนามเทนนิสขึ้นทั่วๆ ไปและในปีค.ศ. 1877 ได้มีการจัดการแข่งขันเทนนิสชิงชนะเลิศแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกปัจจุบันสิ่งที่เป็นของพันตรีวิงฟิลด์ที่เหลืออยู่ให้เห็นได้แก่อุปกรณ์การเล่นที่เป็นตาข่ายกับชื่อคำว่า "เทนนิส" เท่านั้นนอกจากนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งสิ้นรวมทั้งคอร์ทกติกาการเล่นและวิธีนับคะแนนพันตรีวิงฟิลด์จึงเปรียบเสมือนบิดาแห่งวงการเทนนิสโลกรูปปั้นของพันตรีวิงฟิลด์ตั้งอยู่ที่ลอนเทนนิสสมาคมแห่งอังกฤษจากหลักฐานที่บันทึกส่วนใหญ่ พบว่า แมรี่ เอาเทอร์บริดจ์ (Mary Outerbridge) ได้ไปพบกีฬาเทนนิสที่เบอร์มิวดา (Bermuda) และในปี 1874 ได้นำอุปกรณ์และวิธีการเล่นกีฬานี้มาเผยแพร่ในประเทศอเมริกา โดยเล่นกันที่ The Staten Islang Cricket and Baseball Club รัฐนิวยอร์ค แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ Tom Todd ได้บันทึกไว้ว่าเป็น Dr. James Dwight เป็นผู้นำกีฬาเทนนิสเข้ามายังประเทศอเมริกาในตอนต้นของปีเดียวกัน ที่จริงแล้วก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นคนแรก อย่างไรก็ตาม Mary Outerbridge เป็นคนที่พยายามผลักดันกีฬาเทนนิสในรัฐนิวยอร์ค ส่วน Dr. James Dwight แพทย์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด (Harvard Medical School) เป็นผู้ที่บทบาทสำคัญต่อวงการเทนนิสของอเมริกาและได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งกีฬาเทนนิสอเมริกา (Father of Tennis U.S.) Dwight ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา แต่กลับทุ่มเทเวลาให้กับเทนนิส โดยเป็นผู้ฝึกสอนแชมป์ชายเดี่ยวคนแรกของอเมริกา Dick Sears และเล่นคู่กับ Sears จนได้ตำแหน่งชนะเลิศประเภทชายคู่ในรายการ U.S. Openกีฬาเทนนิสได้ถูกบรรจุอยู่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคตั้งแต่ครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ (ปี 1896) เรื่อยมาจนถึงการแข่งขันโอลิมปิคที่กรุงปารีสในปี 1924 หลังจากนั้นก็ได้ถูกยกเลิกไปและได้ถูกบรรจุอยู่ในกีฬาโอลิมปิคอีกในปี 1988 ที่กรุงโซลประเทศเกาหลีปี 1900 เกมส์การเล่นเทนนิสได้พัฒนาขึ้นมาก Renshaws เป็นผู้เริ่มการขึ้นเล่นหน้าเน็ต Lawford ใช้ลูกท็อปสปิน (Topspin), ไวท์การแข่งขันเดวิสคัพซึ่งต่อมาได้เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นเข้าร่วมการแข่งขันและเป็นรายการแข่งขันประเภททีมชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่าได้ให้ถ้วยรางวัลสำหรับการแข่งขันประเภททีมระหว่างอังกฤษกับอเมริกาผู้คิดวิธีการเสิร์ฟแบบอเมริกันทวิส (บิดอเมริกัน) Davis (ถ้วย Davis)ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์เทนนิสนานาชาติปีค.ศ. 1913 (ในสมัยนั้นเรียกว่าเทนนิสนานาชาติสหพันธ์ - ILTF ปั
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติกีฬาเทนนิสความเป็นมาของกีฬาเทนนิส (เทนนิส) มีหลักฐานพบว่าประมาณศตวรรษที่ 13 Le Jeu Du Paume (เจอเดอปูม) หรือเป็นภาษาอังกฤษว่าเกมของ Palm (เกมส์ของฝ่ามือ) La Journee (ลาจูเน่) ภาษาฝรั่งเศสโบราณแปลว่าหนึ่งวันในการแข่งขันกีฬาแมทช์สมัยนั้นจะยึดเอาจำนวนนาทีใน 1 ชั่วโมงและจำนวนชั่วโมงใน 1 วันเป็นเกณฑ์ดังนั้นกีฬาแมทช์หนึ่งจะมี 24 เกมในแต่ละเกมจะมี 4 แต้มและแต้มละ 15 คะแนน (ในหนึ่งชั่วโมงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ๆ ละ 15 นาที) เมื่อนักกีฬาเล่นได้แต้ม 45 คะแนนเท่ากันจะต้องเล่นให้ได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะดังนั้นถ้าเล่นได้แต้ม 45 เท่ากันต้องเล่นอีก 2 แต้มคือ 15 และ 15 คะแนนจะเกิน 60 (45 + 15 + 15 = 75) 45: 45 คะแนนมาเป็น 40: 40 คะแนนแล้วแต้มต่อไปจะเป็นแต้มละ 10 คะแนน (40 + 10 + 10) และถ้าเกิดได้คะแนน 50: 50 เท่ากันต้องเล่นกันใหม่จนกว่าจะได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ ชนะเช่นเดียวกับการเล่นเกมเมื่อได้ 23 เกมเท่ากันจะแพ้ชนะกันต้องได้ 2 เกมติดกันซึ่งรวมแล้วจะเกิน 24 เกมจึงลดเป็นเมื่อได้ 22 เกมเท่ากันแล้วต้องได้อีก 2 เกมติดต่อกันจึงเป็นฝ่าย ชนะ แต่การเล่นนานถึง 24 เกมใช้เวลานานมากดังนั้นจึงค่อยๆลดลงจาก 24 เกมเหลือ 12 เกมจนในที่สุดเหลือ 6 17 จนกระทั่งนำไปสู่การพนัน และในตอนปลายศตวรรษที่ 18 คำว่าเตอเน่ (Tenez) ก็ปรากฎขึ้น ซึ่งคำว่า "เตอเน่" แปลว่าเล่นหรือจับจึงเพี้ยนไปในที่สุดกลายเป็นเทนนิส (เทนนิส) ตอนปลายศตวรรษที่ 16 Le Jeu Du Paume ถูกนำเข้าไปในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1327 - 1377 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 3 และในปี ค.ศ. 1414 เจ้าชายฟินแห่งฝรั่งเศสได้ถวายของขวัญแก่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เป็นลูกบอลสำหรับใช้เล่นเกมส์นี้หลักฐานการถวายของขวัญครั้งนี้ 5 (เฮนรี่วี) ในภาค (พ.ร.บ. ) ที่ 1, ฉาก (Scene) ที่ 2 บรรทัดที่ 261-262 ดังนี้"เมื่อเราได้ match'd ไม้ของเราเพื่อลูกเหล่านี้เราจะอยู่ในประเทศฝรั่งเศส(โดยพระคุณของพระเจ้า) เล่น ตั้ง.. Le Jeu Du Paume ก็สูญหายไปพร้อมกับกลุ่มชนชั้นสูง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1874 นายพันตรีวอลเตอร์คล็อปตันวิงฟิลด์ (เมเจอร์ Clopton วอลเตอร์วิงฟิลด์) และเรียกชื่อว่า Sphairistike แปลว่าเล่นภาษากรีกในอุปกรณ์หัวเรื่อง: การเล่นต่างๆได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ตามกฎหมายซึ่งประกอบด้วยเสาตาข่ายลูกบอลไม้แร็กเกตและกติกาหัวเรื่อง: การเล่น คล้ายนาฬิกาทรายสำหรับตาข่ายที่ใช้กั้นตรงกลางสูง 7 ในปี ค.ศ. 1875 สโมสรแมรี่ลีบอนคริกเกต (The Marylebone คริกเก็ตคลับ) (ในออลอิงแลนด์คลับ Croquet, ก่อตั้งเมื่อปี 1868 วิมเบิลดัน) ซึ่งแตกต่างไปจากของพันตรีวิงฟิลด์ มีการสร้างสนามเทนนิสขึ้นทั่ว ๆ ไปและในปี ค.ศ. 1877 อุปกรณ์การเล่นที่เป็นตาข่ายกับชื่อคำว่า "เทนนิส" เท่านั้น กติกาการเล่นและวิธีนับคะแนน รูปปั้นของพันตรีวิงฟิลด์ พบว่าแมรี่เอาเทอร์บริดจ์ (Mary Outerbridge) ได้ไปพบกีฬาเทนนิสที่เบอร์มิวดา (Bermuda) และในปี 1874 โดยเล่นกันที่สเตเทคริกเก็ตและ Islang เบสบอลคลับรัฐนิวยอร์ค แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษทอมทอดด์ได้บันทึกไว้ว่าเป็นดร. เจมส์ไวต์ อย่างไรก็ตามแมรี่ Outerbridge ส่วนดร. เจมส์ไวต์แพทย์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด (โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์) บิดาแห่งกีฬาเทนนิสอเมริกา (พ่อเทนนิสสหรัฐ) ดไวต์ แต่กลับทุ่มเทเวลาให้กับเทนนิส ดิ๊กเซียร์และเล่นคู่กับเซียร์ เรา (ปี 1896) 1924 1988 กรุงโซลที่ประเทศเกาหลีปี1900 เกมส์การเล่นเทนนิสได้พัฒนาขึ้นมาก Renshaws เป็นผู้เริ่มการขึ้นเล่นหน้าเน็ต, Lawford ใช้ลูกท็อปสปิน (ได้ใจ), ดไวต์เดวิส (บิดอเมริกัน) การแข่งขันเดวิสคัพ (ถ้วยเดวิส) ปี 1913 (ในสมัยนั้นเรียกว่าสนามหญ้าระหว่างประเทศสหพันธ์เทนนิส - ILTF, ปั



























การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติกีฬาเทนนิสความเป็นมาของกีฬาเทนนิส ( เทนนิส )


มีหลักฐานพบว่า Le Jeu Du ประมาณศตวรรษที่ 13 ประเทศฝรั่งเศสมีการเล่นเกมส์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกีฬาเทนนิสเรียกว่า paume ( เจอเดอปูม ) หรือเป็นภาษาอังกฤษว่าเกมของปาล์ม ( เกมส์ของฝ่ามือ )หลังจากนั้นจึงมีการใช้เเร็คเก็ตเเทนฝ่ามือ

คำว่าลาจูเน่ ( ลาจูเน่ ) ภาษาฝรั่งเศสโบราณแปลว่าหนึ่งวันในการแข่งขันกีฬาแมทช์สมัยนั้นจะยึดเอาจำนวนนาทีใน 1 ชั่วโมงและจำนวนชั่วโมงใน 1 วันเป็นเกณฑ์ดังนั้นกีฬาแมทช์หนึ่งจะมี 24 เกมในแต่ละเกมจะมี 4 แต้มและแต้มละคะแนน ( ในหนึ่งชั่วโมงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงๆ 15 ละนาที ) เมื่อนักกีฬาเล่นได้แต้ม 45 คะแนนเท่ากันจะต้องเล่นให้ได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะดังนั้นถ้าเล่นได้แต้ม 45 เท่ากันต้องเล่นอีก 2 แต้มคือ 15 15 และคะแนนจะเกิน 60 ( 45 15 15 = 75 ) จึงตกลงเปลี่ยนคะแนนเมื่อแต้มเท่าจาก 45 :45 คะแนนมาเป็น 40 : 40 คะแนนแล้วแต้มต่อไปจะเป็นแต้มละ 10 คะแนน ( 40 10 ) และถ้าเกิดได้คะแนน 50 :50 เท่ากันต้องเล่นกันใหม่จนกว่าจะได้ 2 แต้มติดกันจึงเป็นผู้ชนะเช่นเดียวกับการเล่นเกมเมื่อได้ 23 เกมเท่ากันจะแพ้ชนะกันต้องได้ 2 เกมติดกันซึ่งรวมแล้วจะเกิน 24 เกมจึงลดเป็นเมื่อได้ 22 เกมเท่ากันแล้วต้องได้อีกเกมติดต่อกันจึงเป็นฝ่ายชนะแต่การเล่นนานถึง 24 เกมใช้เวลานานมากดังนั้นจึงค่อยๆลดลงจาก 24 เกมเหลือ 12 เกมจนในที่สุดเหลือเกมดังเช่นในปัจจุบัน
6
ในตอนต้นศตวรรษที่ 17 มีการสร้างคอร์ทนับร้อยในกรุงปารีสและกีฬานี้เป็นที่นิยมมากจนกระทั่งนำไปสู่การพนันทำให้กีฬานี้ถูกห้ามเล่นในที่สาธารณะแต่อนุญาติให้เล่นได้ในกลุ่มสังคมชั้นสูงและในตอนปลายศตวรรษที่ 18เตอเน่ ( เทเนซ ) ก็ปรากฎขึ้นบางทีอาจเป็นเพราะชาวอังกฤษพยายามออกเสียงตามภาษาฝรั่งเศสโบราณซึ่งคำว่า " เตอเน่ " แปลว่าเล่นหรือจับจึงเพี้ยนไปในที่สุดกลายเป็นเทนนิส
( เทนนิส )
ตอนปลายศตวรรษที่ Le Jeu Du paume 16 ถูกนำเข้าไปในประเทศอังกฤษจึงนับได้ว่าประเทศอังกฤษมีส่วนในการพัฒนากีฬานี้สามารถค . ศ . 1327 - 1377 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 3 ได้สร้างคอร์ทขึ้นภายในพระราชวังวินเซอร์และในปีค . ศ .509 เจ้าชายฟินแห่งฝรั่งเศสได้ถวายของขวัญแก่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 เป็นลูกบอลสำหรับใช้เล่นเกมส์นี้หลักฐานการถวายของขวัญครั้งนี้ปรากฏอยู่ในบทละครของเชคสเปียร์เรื่องพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ( Henry V ) ในภาค ( พระราชบัญญัติ ) ที่ 1ฉาก ( ฉาก ) ที่ 2 , บรรทัดที่ 261-262 ดังนี้

" เมื่อเรามีราคาก็ไม้ของเราให้ลูกเหล่านี้
เราจะในฝรั่งเศส ( โดยพระคุณของพระเจ้า ) เล่นชุด . . . . . . . "

การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: