บทคัดย่อ
ชื่อวิจัย พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโนนรัง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ผู้วิจัย นางจันทวาส โคตรชุม และ นางสาวปานทิพย์ พึ่งไท
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโนนรัง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
บทคัดย่อ
ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อลดลง อัตราอุบัติการณ์ของโรคไม่ติดเชื้อและโรคเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังโรคหนึ่งที่มีแนวโน้มอัตราความชุกเพิ่มขึ้นทุกปี สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ไม่ส่งเสริมสุขภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโนนรัง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และศึกษา ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโนนรัง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยศึกษาเชิงสำรวจแบบตัดขวาง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ จากขนาดตัวอย่างจำนวน 38 คน และสัมภาษณ์ทั้งหมดผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ได้แบบสัมภาษณ์ทั้งหมด 38 ฉบับ คิดเห็นร้อยละ100 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS for window สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ในระดับพอใช้ ด้านความสัมพันธ์ของข้อมูลพื้นฐานพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน เพศหญิงมากกว่าเพศชาย 28(73.7) : 10(26.3) อายุ 61-79 ปี (DTxเฉลี่ย 180 mg%) ระดับการศึกษา ต่ำกว่ามัธยมร้อยละ100 อาชีพเกษตรกรร้อยละ100 ระยะเวลาป่วยมากกว่า 5 ปี นอกจากนี้ ยังพบว่าพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ73.7 พฤติกรรมการออกกำลังกายอยู่ในระดับต่ำร้อยละ97.4 พฤติกรรมการทำความสะอาดร่างกายและเท้าอยู่ในระดับต่ำร้อยละ71.1 พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพจิตอยู่ในระดับต่ำร้อยละ76.3 พฤติกรรมการใช้ยาอยู่ในระดับต่ำร้อยละ68.4
ข้อเสนอแนะในการวิจัย พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนของโรคเบาหวานจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งนักสาธารณสุขทุกระดับ ควรให้ความสำคัญโดยเน้นกลวิธีทางสุขศึกษาหลายๆ รูปแบบ เช่น การประชุมอบรม การชมสไลด์ วิดิทัศน์ เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ มีความตระหนัก เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการให้ความรู้แก่บุคคลในครอบครัวได้แก่ สามีภรรยา ผู้ดูแลผู้ป่วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน การจัดตั้งชมรมผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นในหมู่บ้าน เป็นต้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือใกล้เคียงปกติได้
การนำผลการวิจัยไปใช้
1.โครงการ3พลังร่วมปรับพฤติกรรมเปลี่ยนสุขภาพผู้สูงอายุโรคเบาหวาน
2.โครงการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง"บริการในบ้าน สานสายใย
ชุมชน"