FunctionA roof structure has basic

Function

A roof structure has basic functional requirements that have to be fulfilled, these can be broken down as follows:-
Climate barrier
The main basic requirement is to keep the weather out and the warmth in, enabling it to maintain a comfortable environment for its inhabitants to live in and carry out the social activities that the building was designed for. A roof should provide adequate insulation as it is the main area of a building where heat loss may occur.
Strength and stability
A roof has to have the ability to carry the self-weight of the roof covering and structure and be able to resist forces from winds and the applied load of snow. The structure should be built as light as current technologies allow to keep imposed loads on the supporting walls to a minimum and finding the most economic means of carrying the roof structure and its load over spans of varying degrees.
Fire protection
The roof must also prevent the spread of fire to and from adjacent or adjoined properties.
Aesthetics
The type of roof used can alter the appearance of a building. There are many types of coverings with different colours and textures which may add to the appeal of the finished building. The slope of the roof also has a major impact on the aesthetics.
Pitched roofs

The Mono Pitch Roof
The mono pitch roof was commonly used to form extensions in Victorian times and is still used in a similar fashion today. It comprises a series of rafters fixed to plates at the top of a wall and the rafter feet are nailed to a wall plate, which distributes the load evenly across the supporting wall.
Joists were fitted to form level ceilings, and could be raised to give more height. They were commonly supported by struts, which stopped the rafters from sagging. Victorians often built the timber joists into the wall, creating a risk of timber rot and cold bridging. This could potentially compromise the stability of the wall. This is no longer considered good practice and joist hangers are now commonly used which give the same support, while not affecting the wall.
The Couple Roof
Often referred to as the simplest form of pitched roof, the couple roof comprises two lengths of timber (rafters) leaning against each other, tied where they meet at the top.
The rafters sit on a wall plate - a length of timber usually 100 x 75mm bedded on mortar on top of the wall. The wall plate provides a fixing point for the feet of the rafters, and is an efficient means of spreading the load exerted by the roof structure down through the walls without creating pressure points where each rafter meets the wall. As the mortar does not bond the wall plate to the wall, steel straps are used to ensure that the roof structure remains secure.
The Couple roof has a very limited span - approximately 3.5m. Historically the problem with this type of structure was that the weight of the roof created natural deflection in the supporting walls by pushing them outwards at the top. Walls could be reinforced but this would require extra brickwork, adding unnecessary expense. In order to support their load, rafters needed to be thick to prevent twisting under pressure, making them difficult to handle on site and expensive.
The Closed Couple Roof
By adding ceiling joists, a length of timber running horizontally in-between the rafter feet, typically 75mm x 50mm to the Couple Roof form, the structure became much more secure. The joist acted as a tie preventing the outward deflection of the wall and increased the potential roof-span to approximately 5m.
Joists are secured to the rafter feet rather than the wall plate to negate any potential deflection. A secure connection between the rafter and ceiling joist is therefore critical. Ridge boards provide restraint for the top of the rafters, preventing lateral movement. The timber used for ceiling joists was commonly thinner than the rafters, so they required support. This was often provided by internal load bearing walls, although in their absence 'hangers' and 'binders' were used. Often built into the gable wall for extra support, binders were nailed to the centres of each ceiling joist parallel to the ridge board. Problems associated with this method were damp penetration, timber rot and also the risk of compromising the supporting wall.
Binders were often supported by hangers (lengths of wood attached to the ridge board). The use of hangers and binders reduced the need for large ceiling joists.
Collar Roofs
By raising the height of the ceiling joists the Collar roof allowed any upper rooms to be constructed partly in the roof space, leading to some economies by slightly reducing the height of the external walls and therefore the amount of brickwork needed.
The problem with this method was that lifting the ceiling joist reduced its restraining force, therefore increasing the instability of the supporting walls and decreasing the span to approximately 4m. In order to maintain the required stability,

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ฟังก์ชันโครงสร้างหลังคามีฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานที่ต้องปฏิบัติตาม เหล่านี้สามารถแบ่งเป็นดังนี้: -อุปสรรคของสภาพภูมิอากาศความต้องการพื้นฐานหลักคือการ ทำให้อากาศออกและความอบอุ่นใน เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับผู้อยู่อาศัยอยู่ใน และดำเนินกิจกรรมทางสังคมที่อาคารถูกออกแบบมาสำหรับ หลังคาควรมีฉนวนกันความร้อนเพียงพอซึ่งเป็นพื้นที่หลักของอาคารซึ่งอาจเกิดสูญเสียความร้อนความแข็งแรงและมั่นคงหลังคาต้องมีความสามารถในการดำเนินการที่น้ำหนักของหลังคาและโครงสร้าง และสามารถต้านทานกองกำลังจากลมและโหลดใช้หิมะได้ ควรสร้างโครงสร้างเบาเทคโนโลยีปัจจุบันอนุญาตให้โหลดกำหนดสนับสนุนผนังให้น้อยที่สุดและหาวิธีการดำเนินโครงสร้างหลังคาและโหลดความครอบคลุมขององศาที่แตกต่างทางเศรษฐกิจมากที่สุดการป้องกันอัคคีภัยนอกจากนี้หลังคายังต้องป้องกันการแพร่กระจายของไฟ และ จากคุณสมบัติติด หรือย่านความสวยงามชนิดของหลังคาที่ใช้สามารถเปลี่ยนลักษณะที่ปรากฏของอาคาร มีหลายประเภทของปูที่มีสีและพื้นผิวซึ่งอาจเพิ่มของอาคารสำเร็จรูป ความลาดชันของหลังคายังมีผลอย่างมากในความสวยงามหลังคาแหลมหลังคาระยะห่างโมโนโมโนสนามหลังคาถูกใช้ส่วนขยายของรูปแบบในสไตล์วิคตอเรียน และยังคงใช้ในลักษณะคล้ายวันนี้ มันประกอบด้วยชุดของ rafters แก้ไขแผ่นที่ด้านบนของกำแพง และขื่อเท้าจะตอกไปแผ่นผนัง ซึ่งกระจายโหลดเท่า ๆ กันทั่วทั้งผนังสนับสนุนJoists ถูกติดตั้งในรูปแบบระดับเพดาน และอาจถูกยกให้สูงมากขึ้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนทั่วไป โดยเสา ซึ่งหยุด rafters จากการหย่อนคล้อย Victorians มักจะขึ้น joists ไม้กับกำแพง สร้างความเสี่ยงไม้เน่าและเชื่อมเย็น นอกจากนี้นี้อาจอาจส่งผลต่อความมั่นคงของผนัง นี้ไม่ถือว่าดี และ joist แขวนตอนนี้ใช้กันทั่วไปซึ่งให้การสนับสนุนเดียวกัน ในขณะที่ไม่มีผลต่อผนังหลังคาคู่มักเรียกว่าแบบง่ายที่สุดของแหลมหลังคา หลังคาคู่ประกอบด้วยสองความยาวของไม้ (rafters) พิงกับแต่ละอื่น ๆ ผูกที่ตรงกับด้านบนRafters นั่งบนแผ่นผนัง - ความยาวของไม้เตียงบนปูนบนผนังปกติ 100 x 75 มม. แผ่นผนังให้เป็นจุดยึดสำหรับเท้าของ rafters และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพการกระจายโหลดนั่นเอง โดยโครงสร้างหลังคาลงผ่านผนังโดยไม่ต้องสร้างจุดที่ขื่อแต่ละตรงกับผนัง เป็นปูนไม่ผูกพันแผ่นผนังกับผนัง สายรัดเหล็กจะใช้เพื่อให้แน่ใจว่า โครงสร้างหลังคายังคงปลอดภัยหลังคาคู่มีช่วงจำกัด - ประมาณ 3.5 เมตร ในอดีตปัญหากับโครงสร้างชนิดนี้คือ ว่า น้ำหนักของหลังคาสร้างธรรมชาติโก่งในผนังสนับสนุน โดยผลักดันพวกเขายกออกไปด้านบน สามารถเสริมผนัง แต่นี้จะต้องก่ออิฐเสริม เพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการโหลดของพวกเขา rafters จำจะหนาเพื่อป้องกันการบิดภายใต้ความดัน ทำให้พวกเขายากที่จะจัดการกับ เว็บไซต์ และมีราคาแพงหลังคาปิดคู่โดยการเพิ่มเพดาน joists ความยาวของไม้ที่ใช้ในแนวนอนระหว่างฟุตจันทัน ปกติ 75 x 50 มม.ไปยังแบบฟอร์มคู่หลังคา โครงสร้างก็ปลอดภัยมากขึ้น การ joist เป็นเสมอป้องกันโก่งออกด้านนอกของผนัง และเพิ่มศักยภาพหลังคาระยะประมาณ 5 เมตรJoists จะปลอดภัยขื่อเท้ามากกว่าแผ่นผนังเพื่อยกเลิกโก่งใด ๆ อาจเกิดขึ้น เชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างจันทันและ joist เพดานจึงสำคัญ ริดจ์บอร์ดให้ยึดเหนี่ยวสำหรับด้านบนของ rafters ป้องกันการแพร่กระจาย ไม้ที่ใช้สำหรับเพดาน joists เป็นบางกว่าทั่วไป rafters ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องสนับสนุน นี้มักจะถูกจัดให้ โดยโหลดภายในแบริ่งผนัง แม้ว่าในกรณีที่พวกเขา 'แขวน' และ 'อุปกรณ์' ถูกนำมาใช้ มักจะอยู่ภายในผนังจั่วสำหรับการสนับสนุนเพิ่มเติม เข้าเล่มถูกตอกไปศูนย์ของแต่ละ joist เพดานขนานกับสันกระดาน ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิธีการนี้ถูกเจาะเปียกชื้น ไม้เน่า และความเสี่ยงของการสูญเสียผนังสนับสนุนอุปกรณ์มักจะได้รับการสนับสนุน โดยแขวน (ความยาวของไม้กับคณะริดจ์) การใช้ไม้แขวนและอุปกรณ์ลดลงต้องเพดานขนาดใหญ่ joistsหลังคาคอโดยการเพิ่มความสูงของ joists เพดาน หลังคาคออนุญาตห้องใด ๆ ด้านการก่อสร้างบางส่วนในพื้นที่หลังคา นำไปสู่เศรษฐกิจบางเล็กน้อยลดความสูงของผนังภายนอก และดังนั้นจึง จำเป็นต้องใช้จำนวนก่ออิฐปัญหา ด้วยวิธีนี้เป็นที่ยก joist เพดานลดแรงการยับยั้ง การเพิ่มเสถียรภาพของกำแพงสนับสนุนและลดระยะประมาณ 4 เมตรดังนั้น เพื่อรักษาความมั่นคงที่จำเป็น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ทำงาน

โครงสร้างหลังคามีความต้องการขั้นพื้นฐานการทำงานที่จะต้องมีการปฏิบัติตามเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้: -
อุปสรรคภูมิอากาศ
ความต้องการขั้นพื้นฐานหลักคือเพื่อให้อากาศออกและความอบอุ่นในทำให้มันรักษาสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับผู้อยู่อาศัย จะอยู่ในและดำเนินการกิจกรรมทางสังคมว่าอาคารที่ถูกออกแบบมาสำหรับ หลังคาควรมีฉนวนกันความร้อนที่เพียงพอในขณะที่มันเป็นพื้นที่หลักของอาคารที่สูญเสียความร้อนอาจเกิดขึ้น.
แข็งแรงและความมั่นคง
หลังคาจะต้องมีความสามารถในการดำเนินการในน้ำหนักตัวของหลังคาคลุมและโครงสร้างและสามารถที่จะต่อต้านกองกำลังจาก ลมและแรงกระทำของหิมะ โครงสร้างควรจะสร้างเป็นแสงเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันช่วยให้เพื่อให้โหลดที่กำหนดไว้ในผนังสนับสนุนให้น้อยที่สุดและหาวิธีการทางเศรษฐกิจมากที่สุดในการดำเนินโครงหลังคาและโหลดกว่าช่วงขององศาที่แตกต่าง.
ป้องกันไฟ
หลังคายังต้องป้องกันไม่ให้ การแพร่กระจายของไฟและจากคุณสมบัติที่อยู่ติดกันหรือติด.
สุนทรียศาสตร์
ประเภทของหลังคาใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอาคาร มีหลายประเภทของปูที่มีสีที่แตกต่างกันและพื้นผิวซึ่งอาจสั่งอุทธรณ์ของอาคารสำเร็จรูปที่มี ความลาดชันของหลังคานอกจากนี้ยังมีผลกระทบสำคัญในความสวยงาม.
หลังคาแหลม

โมโนหลังคาสนาม
หลังคาโมโนสนามที่ใช้กันทั่วไปในรูปแบบนามสกุลในยุควิกตอเรียและยังคงใช้ในลักษณะคล้ายวันนี้ มันประกอบด้วยชุดของจันทันจับจ้องไปที่แผ่นที่ด้านบนของผนังและเท้าขื่อมีการตอกไปแผ่นผนังซึ่งกระจายโหลดสม่ำเสมอทั่วผนังสนับสนุน.
Joists กำลังพอดีกับรูปแบบเพดานระดับและอาจจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้ ความสูงมากขึ้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนโดยทั่วไปเสาซึ่งหยุดจันทันจากความหย่อนคล้อย วิกตอเรียมักจะสร้างไม้ไม้เข้าไปในผนังสร้างความเสี่ยงของการเน่าไม้และการเชื่อมโยงที่มีอากาศเย็น นี้อาจจะประนีประนอมความมั่นคงของผนัง นี้ไม่ได้รับการพิจารณาการปฏิบัติที่ดีและไม้แขวนตงตอนนี้ใช้กันทั่วไปที่ให้การสนับสนุนเดียวกันในขณะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผนัง.
หลังคาคู่
มักจะเรียกว่าเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดของหลังคาแหลมหลังคาคู่ประกอบด้วยสองความยาวของไม้ (จันทัน ) พิงกันและกันผูกที่พวกเขาพบที่ด้านบน.
จันทันนั่งบนแผ่นผนัง - ความยาวของไม้มักจะ 100 x 75mm เตียงบนปูนด้านบนของผนัง แผ่นผนังมีการแก้ไขจุดฟุตของจันทันและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพของการแพร่กระจายโหลดกระทำโดยโครงหลังคาลงมาผ่านผนังโดยไม่ต้องสร้างจุดความดันที่แต่ละขื่อมีคุณสมบัติตรงตามผนัง ในฐานะที่เป็นปูนไม่ผูกพันแผ่นผนังกับผนัง, สายรัดเหล็กถูกนำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างหลังคายังคงปลอดภัย.
หลังคาคู่มีช่วง จำกัด มาก - ประมาณ 3.5 เมตร ในอดีตมีปัญหากับประเภทของโครงสร้างนี้คือการที่น้ำหนักของหลังคาที่สร้างขึ้นโก่งธรรมชาติในผนังสนับสนุนโดยการผลักดันให้พวกเขาออกไปที่ด้านบน ผนังอาจจะเสริม แต่นี้จะต้องก่ออิฐเสริมเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อรองรับการโหลดของพวกเขาจันทันจำเป็นที่จะหนาเพื่อป้องกันการบิดภายใต้ความกดดันที่ทำให้พวกเขายากที่จะจัดการในสถานที่และมีราคาแพง.
หลังคาคู่ปิด
โดยการเพิ่มไม้ติดเพดานความยาวของไม้ในแนวนอนในระหว่างฟุตจันทัน, โดยทั่วไป 75mm x 50mm ไปสู่รูปแบบหลังคาคู่โครงสร้างกลายเป็นความปลอดภัยมากขึ้น ตงทำหน้าที่เป็นที่ผูกป้องกันการโก่งตัวออกไปด้านนอกของผนังและเพิ่มศักยภาพหลังคาช่วงประมาณ 5 เมตร.
Joists มีความปลอดภัยกับเท้าขื่อมากกว่าแผ่นผนังเพื่อลบล้างโก่งที่อาจเกิดขึ้น เชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างจันทันและตงเพดานดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ บอร์ด Ridge ให้ยับยั้งชั่งใจสำหรับด้านบนของจันทันป้องกันการเคลื่อนไหวด้านข้าง ไม้ที่ใช้ในการคานเพดานธรรมดาบางกว่าจันทันดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องมีการสนับสนุน นี้มักจะถูกจัดไว้ให้โดยผนังแบกภาระภายในแม้ในกรณีที่ไม่มีของพวกเขา 'ไม้แขวนเสื้อ' และ 'สาร' ถูกนำมาใช้ มักจะสร้างขึ้นในผนังจั่วสำหรับการสนับสนุนเสริมสารถูกตอกไปศูนย์ของแต่ละเพดานตงขนานไปยังคณะกรรมการสันเขา ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิธีการนี้มีการเจาะชื้นไม้เน่าและยังมีความเสี่ยงของการสูญเสียผนังสนับสนุน.
Binders มักจะได้รับการสนับสนุนจากไม้แขวนเสื้อ (ความยาวของไม้ที่แนบมากับคณะกรรมการสัน) การใช้ไม้แขวนเสื้อและสารลดความจำเป็นในการคานเพดานขนาดใหญ่.
หลังคาคอ
โดยการเพิ่มความสูงของไม้เพดานหลังคาปลอกคอที่ได้รับอนุญาตในห้องบนใด ๆ ที่จะสร้างบางส่วนในพื้นที่หลังคาที่นำไปสู่เศรษฐกิจบางส่วนโดยการลดเล็กน้อยความสูงของ ผนังภายนอกและดังนั้นปริมาณของอิฐที่จำเป็น.
ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็คือการยกขื่อเพดานลดแรงรั้งของมันจึงเพิ่มความไม่แน่นอนของผนังสนับสนุนและลดช่วงประมาณ 4 เมตร เพื่อรักษาความมั่นคงที่จำเป็น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ฟังก์ชันโครงหลังคามีความต้องการการทำงานพื้นฐานที่ต้องทำ เหล่านี้สามารถแบ่งเป็นดังนี้ :บรรยากาศเป็นอุปสรรคความต้องการพื้นฐานหลักคือเพื่อให้อากาศออก และความอบอุ่นที่ทำให้มันเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับประชากรของอยู่ใน และดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่ อาคารถูกออกแบบมาสำหรับ หลังคาควรมีฉนวนกันความร้อนที่เพียงพอ มันเป็น พื้นที่หลักของอาคารที่สูญเสียความร้อนที่อาจเกิดขึ้นความแข็งแกร่งและความมั่นคงหลังคาต้องมีความสามารถในการแบกน้ำหนักของตนเองปิดหลังคาและโครงสร้างและสามารถต้านแรงลมและใช้โหลดของหิมะ โครงสร้างที่ควรจะสร้างขึ้นเป็นแสงเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันอนุญาตให้กำหนดภาระที่สนับสนุนผนังให้น้อยที่สุดและหาวิธีการที่ประหยัดที่สุดในการแบกหลังคาโครงสร้างและโหลดของผ่านช่วงองศาที่แตกต่าง .ป้องกันอัคคีภัยหลังคายังต้องป้องกันไฟไหม้ลามไปยัง และ จากที่อยู่ติดกันหรือติดคุณสมบัติสุนทรียศาสตร์ประเภทของหลังคาที่ใช้สามารถปรับเปลี่ยนลักษณะของอาคาร มีหลายประเภทของปูด้วยสีที่แตกต่างและพื้นผิวที่อาจเพิ่มการอุทธรณ์ของอาคาร . ความชันของหลังคายังมีผลกระทบที่สําคัญเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์หลังคาแหลมหลังคาสนาม โมโนหลังคาสนาม โมโน ซึ่งใช้รูปนามสกุลวิคตอเรีย และยังคงใช้ในแฟชั่นที่คล้ายกันในวันนี้ มันประกอบไปด้วยชุดของ rafters ซ่อมจานที่ด้านบนของผนังและขื่อเท้าตอกไปที่ผนังแผ่นซึ่งกระจายโหลดกันข้ามสนับสนุนผนังไม้ ถูกติดตั้งแบบเพดานระดับและสามารถยกขึ้นให้สูงมากขึ้น พวกเขาโดยทั่วไปได้รับการสนับสนุนโดยป๋อ ซึ่งหยุด rafters จากการหย่อนคล้อย วิคต รียนมักจะสร้างไม้ไม้ที่เป็นผนัง สร้างความเสี่ยงต่อการเน่าไม้เย็นและการเชื่อมโยง . นี้อาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของกำแพง นี้ถือว่าไม่มีการปฏิบัติที่ดีและไม้แขวนตงตอนนี้ที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งให้ความสนับสนุนเดียวกัน ในขณะที่ไม่มีผลต่อผนังคู่ หลังคามักจะเรียกว่าเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดของหลังคาแหลม คู่ หลังคาประกอบด้วยสองความยาวของไม้ ( ซาก ) พิงกัน ผูกที่พวกเขาพบกันที่จุดสูงสุดขื่อนั่งบนแผ่นผนัง - ความยาวของไม้ปกติ 100 x 75mm เตียงในปูนบนผนัง ผนังแผ่นให้แก้ไขจุดที่เท้าของ rafters และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพของการกระจายโหลดนั่นเอง โดยโครงสร้างหลังคาลงมาถึงผนังโดยไม่สร้างจุดความดันที่แต่ละแพ ตรงผนัง เป็นปูนไม่เจือกผนังแผ่นผนัง , สายรัดเหล็กจะถูกใช้เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างหลังคายังคงปลอดภัยคู่ หลังคา มีช่วง จำกัด มาก ประมาณ 3.5 เมตร ในอดีตปัญหาของโครงสร้างประเภทนี้คือว่า น้ำหนักของหลังคาที่สร้างจากธรรมชาติ ในการสนับสนุนผนังโดยผลักดันพวกเขาออกที่ด้านบน ผนังอาจจะเสริม แต่นี้จะต้องเสริมการป้องกัน , การเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการโหลดของพวกเขา , rafters ต้องหนา เพื่อป้องกันการบิดภายใต้ความกดดัน ทำให้พวกเขายากที่จะจัดการในเว็บไซต์ และราคาแพงหลังคาคู่ปิดโดยการเพิ่มเพดาน Joists , ความยาวของไม้วิ่งตามแนวนอนระหว่างจันทันเท้ามักจะ 75mm x 50mm ไปคู่ หลังคา รูปแบบ โครงสร้าง เป็น มาก ปลอดภัยมากขึ้น เบตงแสดงเป็นผูกป้องกันการโก่งออกด้านนอกของผนังและหลังคาที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นช่วงประมาณ 5 เมตร .น้ำหนักปลอดภัยขื่อเท้ามากกว่าผนังแผ่นเพื่อปฏิเสธใด ๆที่อาจเกิดขึ้นการแอ่นตัว เชื่อมต่อที่ปลอดภัยระหว่างจันทัน และตงเพดานจึงเป็นเรื่องสำคัญ สันให้บอร์ดอั้นสำหรับด้านบนของหลังคา เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวด้านข้าง . ไม้ที่ใช้สำหรับ joists เพดานซึ่งบางกว่าขื่อ ดังนั้นพวกเขาต้องสนับสนุน นี้มักจะให้โหลดภายในผนังรับ แม้ว่าในการ " แขวน " และ " ยึด " ใช้ มักจะสร้างไว้ในผนังจั่วสำหรับการสนับสนุนพิเศษยึดเกาะถูกตอกไปที่ศูนย์ของแต่ละเพดานตงขนานกับแนวกระดาน ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิธีการนี้ถูกเจาะเปียก , ไม้ผุ และความเสี่ยงของการสูญเสียการสนับสนุนผนังสิ่งที่มักจะได้รับการสนับสนุนจากไม้แขวน ( ความยาวของไม้ที่ติดกับสันกระดาน ) การใช้ไม้แขวนและสารลดต้อง Joists เพดานขนาดใหญ่ปลอกคอหลังคาโดยเพิ่มความสูงของเพดาน หลังคาไม้ ปกได้รับอนุญาตใด ๆบนห้องจะถูกสร้างขึ้นใน 4 พื้นที่หลังคา ผู้นำบางประเทศ โดยมีการลดความสูงของผนังภายนอกและดังนั้นจำนวนของการป้องกันที่จำเป็นปัญหาด้วยวิธีนี้คือ การยกเพดานตงลดลงของถูกบังคับ ดังนั้นการเพิ่มเสถียรภาพของผนังสนับสนุนและลดช่วงประมาณ 4 เมตร เพื่อที่จะรักษาความต้องการความมั่นคง