Empathy-altruism is a form of altru

Empathy-altruism is a form of altruism based on feelings for others.

The social exchange theory states that altruism does not exist unless benefits outweigh the costs. C. Daniel Batson disagrees. He holds that people help others in need out of genuine concern for the well-being of the other person.[1] The key ingredient to helping is "empathic concern". According to his 'empathy-altruism hypothesis', if you feel empathy towards another person you will help them, regardless of what you can gain from it (1991). Relieving their suffering becomes the most important thing. When you do not feel empathy, the social exchange theory takes control.

Batson recognized that people sometimes helped out of selfish reasons. He and his team were interested in finding ways to distinguish between the motives. Students were asked to listen to tapes from a radio program. One of the interviews was with Carol. She talked about her bad car accident in which both of her legs were broken. She talked about her struggles and how behind she was becoming in class. Students who were listening to this particular interview were given a letter asking the student to share lecture notes and meet with her. The experimenters changed the level of empathy by telling one group to try to focus on how she was feeling (high empathy level). The other group did not need to be concerned with that (low empathy level). The experimenters also varied the cost of not helping. The high cost group was told that Carol would be in their same psychology class after returning to school. The low cost group believed she would finish the class at home. The results confirmed the empathy-altruism hypothesis. Those in the high empathy group were almost equally as likely to help her in either circumstance, while the low empathy group helped out of self-interest. Seeing her in class everyday made them feel guilty if they did not help (Batson & Toi, 1982).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เอาใจใส่-altruism คือ ฟอร์มของ altruism ตามความรู้สึกผู้อื่นทฤษฎีแลกเปลี่ยนทางสังคมระบุว่า altruism มีอยู่เว้นแต่จะประโยชน์เกินราคาต้นทุน C. Daniel Batson ไม่เหมาะ เขาถือว่า คนช่วยให้คนอื่นต้องไม่กังวลแท้จริงสำหรับการเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น[1] ส่วนผสมสำคัญที่จะช่วยเป็น "empathic กังวล" ตามของเขา 'เอาใจใส่ altruism สมมติฐาน' ถ้าคุณรู้สึกว่าเอาใจใส่ต่อผู้อื่น คุณจะช่วยให้พวกเขา ไม่ว่าสิ่งที่คุณสามารถได้รับจากมัน (1991) บรรเทาทุกข์ของพวกเขากลายเป็น สิ่งสำคัญที่สุด เมื่อคุณไม่รู้สึกว่าเอาใจใส่ ทฤษฎีแลกเปลี่ยนทางสังคมที่จะควบคุมBatson recognized that people sometimes helped out of selfish reasons. He and his team were interested in finding ways to distinguish between the motives. Students were asked to listen to tapes from a radio program. One of the interviews was with Carol. She talked about her bad car accident in which both of her legs were broken. She talked about her struggles and how behind she was becoming in class. Students who were listening to this particular interview were given a letter asking the student to share lecture notes and meet with her. The experimenters changed the level of empathy by telling one group to try to focus on how she was feeling (high empathy level). The other group did not need to be concerned with that (low empathy level). The experimenters also varied the cost of not helping. The high cost group was told that Carol would be in their same psychology class after returning to school. The low cost group believed she would finish the class at home. The results confirmed the empathy-altruism hypothesis. Those in the high empathy group were almost equally as likely to help her in either circumstance, while the low empathy group helped out of self-interest. Seeing her in class everyday made them feel guilty if they did not help (Batson & Toi, 1982).

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เอาใจใส่-เห็นแก่ตัวเป็นรูปแบบของความบริสุทธิ์ใจขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนอื่น ๆ . ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมระบุว่าเห็นแก่ตัวไม่ได้อยู่เว้นแต่ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์เกินดุล C. แดเนียล Batson ไม่เห็นด้วย เขาจบที่คนช่วยคนอื่น ๆ ในความต้องการออกมาจากความกังวลของแท้สำหรับความเป็นอยู่ของคนอื่น. [1] องค์ประกอบที่สำคัญที่จะช่วยให้เป็น "ความห่วงใยเอาใจใส่" ตามสมมติฐานการเอาใจใส่-เห็นแก่ตัวของเขาถ้าคุณรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นคุณจะช่วยให้พวกเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่คุณสามารถได้รับจากมัน (1991) บรรเทาความทุกข์ทรมานของพวกเขาจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อคุณไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจ, ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมจะควบคุม. Batson รับการยอมรับว่าคนบางครั้งก็ช่วยออกมาจากเหตุผลที่เห็นแก่ตัว เขาและทีมงานของเขาได้รับความสนใจในการหาวิธีที่จะแยกความแตกต่างระหว่างแรงจูงใจ นักเรียนถูกถามจะฟังเทปจากรายการวิทยุ หนึ่งของการสัมภาษณ์กับแครอล เธอพูดคุยเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่ดีของเธอในการที่ทั้งสองขาของเธอถูกทำลาย เธอได้พูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ของเธอและวิธีการที่อยู่เบื้องหลังเธอก็กลายเป็นในชั้นเรียน นักเรียนที่ได้รับฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับจดหมายขอนักศึกษาที่จะแบ่งปันเอกสารประกอบการบรรยายและตอบสนองกับเธอ ขัดเคืองการเปลี่ยนแปลงระดับของความเห็นอกเห็นใจโดยบอกกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะมุ่งเน้นไปที่วิธีการที่เธอรู้สึก (ระดับการเอาใจใส่สูง) กลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการที่ (ระดับเอาใจใส่ต่ำ) ขัดเคืองยังแตกต่างกันของค่าใช้จ่ายไม่ได้ช่วยให้ กลุ่มที่ค่าใช้จ่ายสูงได้บอกว่าแครอลจะอยู่ในระดับเดียวกับจิตวิทยาของพวกเขาหลังจากที่กลับไปโรงเรียน กลุ่มที่มีต้นทุนต่ำเชื่อว่าเธอจะจบชั้นเรียนที่บ้าน ผลการยืนยันสมมติฐานเอาใจใส่-ความบริสุทธิ์ใจ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มการเอาใจใส่สูงเกือบเท่า ๆ กันเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เธอในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งในขณะที่กลุ่มการเอาใจใส่ต่ำช่วยออกมาจากประโยชน์ของตนเอง เห็นเธอในชั้นเรียนในชีวิตประจำวันทำให้พวกเขารู้สึกผิดถ้าพวกเขาไม่ได้ช่วย (Batson & ทอย, 1982)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ความรู้สึกคือเป็นรูปแบบของความไม่เห็นแก่ตัวตามความรู้สึกคนอื่น

ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม ระบุว่า คือไม่มี นอกจากผลประโยชน์ที่เกินดุลค่าใช้จ่าย ซี. แดเนียล Batson ไม่เห็นด้วย เขาเป็นคนที่ช่วยให้ผู้อื่นที่ต้องการออกจากความกังวลของแท้สำหรับความเป็นอยู่ของบุคคลอื่น . [ 1 ] ส่วนผสมหลักที่จะช่วยให้ " เข้าใจความรู้สึกของความห่วงใย "ตามความเข้าใจคือสมมติฐานของเขา ' ' ถ้าคุณรู้สึกเห็นใจบุคคลอื่นคุณจะช่วยให้พวกเขา ไม่ว่าสิ่งที่คุณสามารถได้รับจากมัน ( 1991 ) การบรรเทาความทุกข์ทรมานของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อคุณไม่รู้สึกเห็นใจ ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมจะควบคุม

Batson ได้รับการยอมรับว่าบางครั้งคนช่วยออกด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว .เขาและทีมงานของเขามีความสนใจในการหาวิธีที่จะแยกแยะระหว่างแรงจูงใจ ให้นักเรียนฟังเทปจากรายการวิทยุ หนึ่งของการสัมภาษณ์กับแครอล เธอพูดเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่ดีของเธอที่ขาทั้งสองข้างของเธอถูกทำลาย เธอพูดเกี่ยวกับการต่อสู้ของเธอและวิธีการที่เธอกลายเป็นอยู่ในชั้นเรียนนักเรียนที่ได้ฟังการสัมภาษณ์นี้โดยเฉพาะได้รับจดหมายถามนักเรียนที่จะแบ่งปันบันทึกการบรรยายและพบกับเธอ การเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึก โดยผู้ทดลองบอกกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึก ว่าเธอ คือ ระดับความสูง ) กลุ่มอื่น ๆไม่ต้องกังวลกับระดับความรู้สึกต่ำ ) มีผู้ทดลองยังหลากหลาย ต้นทุนไม่ได้ช่วยอะไรกลุ่มค่าใช้จ่ายสูงบอกแครอลจะในเดียวกันจิตวิทยาเรียนหลังจากกลับไปโรงเรียน กลุ่มค่าใช้จ่ายต่ำ เชื่อว่าเธอจะเรียนเสร็จกลับบ้าน ผลยืนยันการเอาใจใส่ด้านสมมติฐาน กลุ่มเอาใจใส่สูงยังเป็นโอกาสที่จะช่วยเธอในสถานการณ์พอๆ กัน ในขณะที่กลุ่มเอาใจใส่น้อยช่วยออกจากผลประโยชน์ส่วนตัวเห็นเธอในชั้นเรียนทุกวันทำให้พวกเขารู้สึกผิด ถ้าเขาไม่ช่วย ( Batson &ต้อย , 1982 )