ฉันคิดว่า ฉันเห็นด้วยกับแนวคิดของท่านดาไลลามะ แม้มีวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทำให้เกิดสะดวกสบายต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้พัฒนาแค่เพียงรูปธรรมทางด้านวัตถุ ไม่ได้ช่วยพัฒนาภายใจจิตใจของมนุษย์เลย เพราะมนุษย์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการที่เรายึดมั่นถือมั่นมันเป็นทุกข์จริง แม้จะมีระบบต่างๆ องค์ระหว่างประเทศเกิดขึ้น แต่จริงๆ ก็ยังมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องเสมอ เมื่อความลุ่มหลง , ความโลภ และความโกรธ ครอบงำจิตใจของคุณ คุณจะไม่สามารถควบคุมจิตใจของคุณได้เลย ดังนั้นเราจะฝึกฝนจิตใจให้มีความแข็งแกร่งพอ ถ้าเรามีความกรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันด้วยใจที่บริสุทธิ์จริง ไม่มีสิ่งตอบแทนเข้ามาเจือปน โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวคือครอบครัวไปสู่สังคมที่ยิ่งใหญ่ สันติภาพจะเกิดขึ้นบนโลก และมันไม่สำคัญเลยว่าศาสนาไหนนั้นดีที่สุด โดยการมาโต้เถียงกันในข้อแตกต่างเล็กๆน้อยๆ ในเรื่องความเชื่อ พิธีกรรม ฯลฯ ซึ่งไม่ช่วยเกิดประโยชน์แก่ด้านใดเลย เพราะทุกศาสนาบนโลกนี้ล้วนสอนให้เราเป็นคนดี มีหลักคำสอนที่ถูกต้องตามที่กฎบัญญัติไว้ ควรหันมาสนใจในเรื่องของการปฏิบัติดีกว่า เป็นธรรมดาทุกคนต้องการความสุข และไม่ต้องการความทุกข์ ความกรุณาจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มี แม้จะมีเงินจำนวนมากก็ไม่สามารถซื้อความกรุณาได้ นั่นคือ สันติภายในใจ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ฉันได้อ่านบทความหนึ่งบนโลกอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับท่านดาไลลามะ คือ วันหนึ่งหลังจากที่ท่านได้ออกมาจากที่คุมขัง และมาเยือนอินเดีย ท่านดาไลลามะ ได้มีโอกาสคุยกัน นักปราญ ท่านเล่าว่า ในช่วง 18 ปี ที่ถูกคุมขังมีบางช่วงของชีวิตที่ อันตรายมากๆ ท่านดาไลลามะ จึงถามว่า ทำไมเหรอทหารจีนจะทำร้ายท่านเหรอ นักปราญช์ บอก “ ไม่ใช่ แต่ เป็นอันตรายจากการที่จะหมดความกรุณากับชาวจีน ” ความทรมานที่ท่านได้รับ หลายครั้งที่เกือบทำให้ท่านแค้นเคือง ท่านบอกว่าการหมดความกรุณาต่อผู้คน คือ ความอันตราย เพียงแค่นึกตามว่า ในขณะที่เราต้องอยู่ในสถานการณ์อันบีบคั้น ถูกกระทำโดยไม่มีความผิด ถูกทรมานสารพัด เราต้องใช้ ใจที่ยิ่งใหญ่ มากแค่ไหน เพื่อที่จะให้อภัยคนเหล่านั้นที่กำลังกระทำต่อเรา และมองเค้าในอีกมุมที่เราควรเข้าใจ และสงสาร คงเพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้า จึงสอนว่า อภัยทาน คือ ทานสูงสุด เพราะมันทำยากมาก และอีกหนึ่งตัว เรื่องความยึดมั่นถือมั่น องค์ดาไลลามะบอกว่า “ อาตมามักบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นพุทธ แต่อาตมาก็ไม่สนับสนุนให้คนยึดติดกับความเป็นพุทธ ” เมื่อเรายึดติด ทัศนะของเราก็เจือไปด้วยอคติ เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้ ถ้าเราเป็นพุทธที่ยึดติดเราก็ไม่สามารถมองเห็นความดี ของคริสตร์ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ ได้ สุดท้าย ศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ถ้าเข้าใจและปฏิบัติถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งความสงบสุขทั้งผู้ปฏิบัติเองและคนในสังคม แต่ถ้านับถือศาสนาอย่างไม่เข้าใจ และปฏิบัติผิดเพี้ยน ย่อมส่งผลตรงกันข้าม เรามองด้วยความเป็นกลางไม่เจือ อคติเราจะเห็นความงดงามและคุณค่าในสิ่งนั้น และทุกสิ่งรอบตัว