Mercy killing (sometimes referred t

Mercy killing (sometimes referred to as euthanasia) is when someone directly ends another person’s life, because they believe it is in their best interest in order to relieve pain and suffering from an incurable or terminal condition. The term ‘mercy killing’ is used to describe both situations where a person asked for their life to be ended, and where they did not. Under the current law, anybody who ends the life of another can be charged with murder and would face mandatory life imprisonment if found guilty – even if the act is a compassionate response to a dying person’s request for help to die.

Dignity in Dying believes that mercy killing should remain illegal. However, we call for more distinction to be made in law between mercy killing and murder. At present cases of mercy killing are tried using the framework of murder law, but this law is inflexible: it can only consider a person’s intention, and not their motivation. The current legal framework cannot distinguish between crimes of compassion and crimes of malice.

In contrast, the DPP’s prosecuting policy on assisted suicide, where someone indirectly helps end another person’s life, takes motivation into consideration. Dignity in Dying would like to see the same flexibility in the law governing mercy killing, by creating either a specific offence or specific defence of mercy killing. A change along these lines would be more just – at present some mercy killers do not face time in jail because judges and juries are unwilling to sentence them to life in prison. A clear legal framework that takes motivation into account would allow judges and juries the flexibility to recognise compassionate acts, and better protect vulnerable people by ensuring that mercy killing cases are fully examined by the courts.

The Law Commission raised this as an issue of concern when it reviewed the law in 2006, and came to the conclusion that the law of murder in relation to cases of mercy killing requires a separate review, looking at whether there should be a partial defence to murder of mercy killing, or a separate crime of mercy killing. However, the Government did not take up this recommendation.

The Ministry of Justice conducted a separate consultation into Murder, manslaughter and infanticide in 2008, which Dignity in Dying responded to, calling for a full review of the law in relation to mercy killing. The Ministry of Justice published the government response to the consultation in January 2009, which stated that mercy killing is a matter of conscience for Parliament to decide.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ฆ่าเมตตา (บางครั้งเรียกว่าการุณยฆาต) เป็นคนตรงช่วงชีวิตของบุคคลอื่น เพราะพวกเขาเชื่อว่า มันเป็นความสนใจที่ดีที่สุดในเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานจากสภาพรักษาไม่หาย หรือเทอร์มินัล คำ 'เมตตาฆ่า' ที่ใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ทั้งสองคนขอให้ชีวิตของพวกเขาที่จะสิ้นสุดที่ และที่พวกเขาไม่ได้ กฎหมายปัจจุบัน ใครที่ปลายชีวิตของผู้อื่นสามารถชาร์จกับฆาตกรรม และจะเผชิญชีวิตบังคับโทษจำคุกถ้าพบความผิด – แม้ว่าการกระทำเป็นการตอบสนองของผู้ตายขอความช่วยเหลือจะตายเห็นอกเห็นใจศักดิ์ศรีในตายเชื่อว่า ฆ่าเมตตาควรยังคงผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เราเรียกความแตกต่างมากกว่าที่จะทำในกฎหมายระหว่างเมตตาฆ่าและฆาตกรรม ในปัจจุบันกรณีเมตตา ฆ่าจะพยายามใช้กรอบของกฎหมายฆาตกรรม แต่กฎหมายนี้จะไม่ยืดหยุ่น: มันสามารถพิจารณาเจตนาของบุคคล และแรงจูงใจไม่ได้ กรอบกฎหมายปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะระหว่างของความเมตตาและอาชญากรรมของแกล้งตรงกันข้าม นโยบายช่วยฆ่าตัวตาย prosecuting ของ DPP คนทางอ้อมช่วยจบชีวิตของผู้อื่น ใช้แรงจูงใจในการพิจารณา ศักดิ์ศรีในตายอยากเห็นความยืดหยุ่นเดียวในกฎหมายว่าด้วยการฆ่าเมตตา โดยสร้างเฉพาะคดีหรือป้องกันเฉพาะของเมตตาฆ่า การเปลี่ยนแปลงตามบรรทัดเหล่านี้จะเป็นเพียงเพิ่มเติม – ปัจจุบัน ฆาตกรเมตตาบางหน้าเวลาในคุกเนื่องจากผู้พิพากษาและ juries ไม่ประโยคนั้นชีวิตในคุก กรอบของกฎหมายชัดเจนที่ใช้แรงจูงใจเข้าบัญชีจะอนุญาตให้ผู้พิพากษาและ juries ความยืดหยุ่นในการรู้จักเห็นอกเห็นใจ และปกป้องเปราะ โดยมั่นใจว่า กรณีฆ่าเมตตาเต็มจะตรวจสอบ โดยศาลคณะกฎหมายยกขึ้นนี้เป็นปัญหาของความกังวลเมื่อทบทวนกฎหมายในปี 2549 และมาถึงข้อสรุปว่า กฎหมายเกี่ยวกับกรณีของเมตตาฆ่าฆาตกรรมต้องรีวิวแยกต่างหาก กำลังดูว่าควรจะป้องกันบางส่วนของเมตตาฆ่า หรืออาชญากรรมแยกต่างหากของเมตตาฆ่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้เอาขึ้นคำแนะนำนี้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้คำปรึกษาแยกเป็นฆาตกรรม manslaughter และ infanticide ใน 2008 ซึ่งศักดิ์ศรีในตายตอบรับ เรียกรีวิวเต็มรูปแบบของกฎหมายเกี่ยวกับเมตตาฆ่า กระทรวงยุติธรรมประกาศเพื่อให้คำปรึกษาใน 2552 มกราคม ซึ่งระบุไว้ว่า ฆ่าเมตตาเป็นเรื่องของมโนธรรมสำหรับรัฐสภาตัดสินใจ ตอบสนองรัฐบาล

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เมตตาฆ่า (บางครั้งเรียกว่านาเซีย) คือเมื่อมีคนโดยตรงลงท้ายชีวิตของคนอื่นเพราะพวกเขาเชื่อว่ามันอยู่ในความสนใจที่ดีที่สุดของพวกเขาเพื่อที่จะบรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากสภาพที่รักษาไม่หายหรือขั้ว 'เมตตาฆ่า' เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ทั้งที่คนถามหาชีวิตของพวกเขาที่จะสิ้นสุดวันที่และสถานที่ที่พวกเขาไม่ได้ ภายใต้กฎหมายปัจจุบันใครที่จะสิ้นสุดลงในชีวิตของผู้อื่นสามารถเรียกเก็บเงินกับการฆาตกรรมและจะต้องเผชิญโทษจำคุกตลอดชีวิตบังคับถ้าพบว่าผิด - แม้ว่าการกระทำคือการตอบสนองความเห็นอกเห็นใจต่อการร้องขอของคนที่กำลังจะตายสำหรับความช่วยเหลือที่จะตาย. ศักดิ์ศรีในการตายเชื่อว่า ความเมตตาฆ่าควรจะยังคงผิดกฎหมาย แต่เราเรียกร้องให้มีความแตกต่างมากขึ้นที่จะทำในกฎหมายระหว่างการฆ่าความเมตตาและการฆาตกรรม ในปัจจุบันกรณีของการฆ่าเมตตาจะถูกทดสอบโดยใช้กรอบของกฎหมายการฆาตกรรม แต่กฎหมายนี้ไม่อ่อน: มันสามารถพิจารณาความตั้งใจของบุคคลและไม่แรงจูงใจของพวกเขา กรอบกฎหมายปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการก่ออาชญากรรมของความเมตตาและการก่ออาชญากรรมของความอาฆาตพยาบาท. ในทางตรงกันข้ามนโยบายอัยการ DPP บนช่วยฆ่าตัวตายทางอ้อมที่มีคนช่วยให้จบชีวิตของบุคคลอื่นใช้แรงจูงใจในการพิจารณา ศักดิ์ศรีในการตายอยากจะเห็นความยืดหยุ่นเหมือนกันในกฎหมายว่าด้วยการฆ่าเมตตาด้วยการสร้างความผิดที่เฉพาะเจาะจงหรือการป้องกันที่เฉพาะเจาะจงของความเมตตาฆ่า การเปลี่ยนแปลงตามบรรทัดเหล่านี้จะมีมากขึ้นเพียง - ในปัจจุบันบางฆาตกรเมตตาไม่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่อยู่ในคุกเพราะผู้พิพากษาและคณะลูกขุนไม่เต็มใจที่จะตัดสินพวกเขาไปตลอดชีวิตในคุก กรอบกฎหมายที่ชัดเจนว่าจะใช้เวลาแรงจูงใจเข้าบัญชีจะช่วยให้ผู้พิพากษาและคณะลูกขุนมีความยืดหยุ่นในการรับรู้การกระทำความเห็นอกเห็นใจและดีกว่าปกป้องคนอ่อนแอโดยมั่นใจความเมตตาที่ฆ่ากรณีมีการตรวจสอบอย่างเต็มที่โดยศาล. คณะกรรมาธิการกฎหมายยกนี้เป็นปัญหาของความกังวลเมื่อ ทบทวนกฎหมายในปี 2006 และมาถึงบทสรุปที่ว่ากฎหมายของการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรณีความเมตตาฆ่าต้องมีการตรวจสอบแยกต่างหากมองว่าควรจะมีการป้องกันบางส่วนเพื่อการฆาตกรรมของความเมตตาฆ่าหรืออาชญากรรมที่แยกต่างหากจากความเมตตา ที่ฆ่า อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้ใช้คำแนะนำนี้. กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้คำปรึกษาที่แยกต่างหากเข้าไปฆาตกรรมฆาตกรรมและทารกในปี 2008 ซึ่งในศักดิ์ศรีตายตอบสนองต่อการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าเมตตา กระทรวงยุติธรรมตีพิมพ์การตอบสนองของรัฐบาลในการให้คำปรึกษาในเดือนมกราคม 2009 ที่ระบุว่าการฆ่าเมตตาเป็นเรื่องของจิตสำนึกรัฐสภาที่จะตัดสินใจ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

บุพเพสันนิวาส ( บางครั้งเรียกว่า การุณยฆาต ) คือเมื่อใครบางคนตรงปลายชีวิตของบุคคลอื่น เพราะพวกเขาเชื่อว่ามันอยู่ในความสนใจของพวกเขาที่ดีที่สุดเพื่อบรรเทาอาการปวดและความทุกข์ทรมานจาก เป็นโรคที่รักษาไม่หาย หรือเทอร์มินัลเงื่อนไข เมตตา คำว่า " ฆ่า " ถูกใช้เพื่ออธิบายทั้งสถานการณ์ที่บุคคลขอชีวิต พวกเขาจะสิ้นสุด และพวกเขาไม่ได้ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ใครที่จบชีวิตของผู้อื่นจะถูกจับในข้อหาฆาตกรรม และหน้าคำสั่งจำคุกตลอดชีวิต ถ้าพบว่ามีความผิด และถ้าการกระทำคือการตอบสนองที่เห็นอกเห็นใจ คนที่กำลังจะตายขอช่วยตายศักดิ์ศรีในความเมตตา ฆ่าตาย เชื่อว่าน่าจะยังคงผิดกฎหมาย แต่เราเรียกความแตกต่างมากขึ้นที่จะทำในกฎหมายระหว่างเมตตาฆ่าและฆาตกรรม ปัจจุบัน กรณีของความเมตตา ฆ่า พยายามใช้กรอบกฎหมายฆาตกรรม แต่กฎหมายนี้จะตาย : มันสามารถพิจารณาเจตนาของบุคคลและแรงจูงใจของพวกเขา กรอบกฎหมายปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะระหว่างความผิดของความเห็นอกเห็นใจ และอาชญากรรมแห่งความอาฆาตพยาบาทในทางตรงกันข้ามของ DPP การตัดสินนโยบายในการฆ่าตัวตายที่คนทางอ้อมช่วยจบอีกคนชีวิต ใช้เวลาในการพิจารณาต่อไป ศักดิ์ศรีจะตายอยากจะเห็นความยืดหยุ่นเดียวกันในกฎหมาย บุพเพสันนิวาส โดยสร้างให้เฉพาะความผิดหรือการป้องกันที่เฉพาะเจาะจงของความเมตตา ฆ่า เปลี่ยนแปลงไปตามเส้นเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ – ปัจจุบันบางปราณีฆาตกรไม่เจอในคุกเพราะผู้พิพากษาและคณะลูกขุนจะไม่เต็มใจที่จะให้พวกเขาประโยคชีวิตในคุก ใสกรอบทางกฎหมายที่ใช้ในบัญชีจะช่วยให้ผู้พิพากษาและคณะลูกขุนในความยืดหยุ่นจักเห็นอกเห็นใจและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า การกระทำ โดยมั่นใจว่า ความเมตตา ฆ่า คดีอย่างเต็มที่ตรวจสอบโดยศาลคณะกรรมาธิการกฎหมายขึ้นมานี้เป็นปัญหาความกังวลเมื่อมันตรวจสอบกฎหมายในปี 2006 และได้ข้อสรุปว่า กฎหมายเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมในเมตตาฆ่าต้องทบทวนแยก ดูว่าควรจะมีการป้องกันบางส่วนเพื่อฆาตกรรม บุพเพสันนิวาส หรือ แยก เกิดความเมตตา การฆ่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้รับการแนะนำนี้กระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการปรึกษาหารือแยกเป็นฆาตกร ฆ่าคนตาย และการฆ่าทารกใน 2008 , ซึ่งศักดิ์ศรีจะตาย ตอบ ที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบเต็มรูปแบบของกฎหมายในความสัมพันธ์กับความเมตตาฆ่า กระทรวงยุติธรรมได้ตีพิมพ์การตอบสนองของรัฐบาล ปรึกษาหารือในเดือนมกราคม 2009 ซึ่งระบุว่า บุพเพสันนิวาส เป็นเรื่องของจิตสำนึกในรัฐสภาจะตัดสิน