Ear examinationPrior to the hearing

Ear examination

Prior to the hearing test itself, the ears of the client are usually examined with an otoscope to make sure they are free of wax, that the eardrum is intact, the ears are not infected, and the middle ear is free of fluid (indicating middle ear infection). The most common reasons to develop hearing loss due to genetic disorder, ageing problems, exposure to noise pollution, infections, birth complications, trauma to the ear, and certain medications or toxins.
Pure tone audiometry

The standard and most common type of hearing test is pure tone audiometry, which measures the air and bone conduction thresholds for each ear in a set of 8 standard frequencies from 250hz to 8000hz. The test is conducted in a sound booth using a pair of headphones connected to an external audiometer. The result of the test is an audiogram diagram which plots a person's hearing sensitivity at the tested frequencies. There is also a high frequency version of the test which tests frequencies over 8000hz to 16000hz which may be employed in special circumstances.
Weber and Rinne
Main articles: Weber test and Rinne test

A complete hearing evaluation involves several other tests as well.[1] In order to determine what kind of hearing loss is present, a bone conduction hearing test is administered. In this test, a vibrating tuning fork is placed behind the ear, on the mastoid process. When the patient can no longer feel/hear the vibration, the tuning fork is held in front of the ear; the patient should once more be able to hear a ringing sound. If they cannot, there is conductive hearing loss in that ear. Additionally, the tuning fork is placed on the forehead. The patient is then asked if the sound is localised in the centre of the head or whether it is louder in either ear. If there is conductive hearing loss, it is likely to be louder in the affected ear; if there is sensorineural hearing loss, it will be quieter in the affected ear. This test helps the audiologist determine whether the hearing loss is conductive (caused by problems in the outer or middle ear) or sensorineural (caused by problems in the cochlea, the sensory organ of hearing) or neural - caused by a problem in the auditory nerve or auditory pathways/cortex of the brain.
Hearing in Noise
The Hearing in Noise Test (HINT) measures a person's ability to hear speech in quiet and in noise.[2] In the test, the patient is required to repeat sentences both in a quiet environment and with competing noise being presented from different directions. More specifically, there are four conditions: (1) sentences with no competing noise, (2) sentences with competing noise presented directly in front of the patient, (3) noise presented at 90° to the right of the patient, and (4) noise presented at 90° to the left of the patient. The test measures signal to noise ratio for the different conditions which corresponds to how loud the sentences needed to be played above the noise so that the patient can repeat them correctly 50% of the time.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ตรวจหูก่อนการทดสอบการได้ยินตัวเอง หูของไคลเอนต์มีการตรวจสอบปกติ ด้วย otoscope การให้แน่ใจว่า จะแว็กซ์ ว่า แก้วหูเหมือนเดิม ไม่มีการติดเชื้อหู และหูชั้นกลางเป็นของเหลว (แสดงการติดเชื้อของหูชั้นกลาง) เหตุผลพบมากที่สุดการสูญเสียการได้ยินเนื่องจากสัมผัสกับมลพิษทางเสียง ติดเชื้อ การเกิดภาวะแทรก ซ้อน บาดเจ็บ หู และยา หรือสารพิษบางอย่าง โรคทางพันธุกรรม ปัญหาริ้วรอยAudiometry เสียงที่บริสุทธิ์ทดสอบการได้ยินชนิดมาตรฐาน และพบมากที่สุดคือ audiometry โทนบริสุทธิ์ ซึ่งวัดอากาศและการนำกระดูก thresholds สำหรับแต่ละหูในชุดความถี่มาตรฐาน 8 จาก 250hz ถึง 8000hz การทดสอบจะดำเนินการในบูธเสียงใช้กับหูฟังที่เชื่อมต่อกับ audiometer เป็นภายนอก ผลของการทดสอบเป็นไดอะแกรมการตรวจการได้ยินซึ่งความไวในการได้ยินของคนที่ความถี่ทดสอบที่แปลง มีความถี่สูงในรูปแบบของการทดสอบซึ่งทดสอบความถี่กว่า 8000hz ถึง 16000hz ซึ่งอาจจะต้องใช้ในสถานการณ์พิเศษเวเบอร์และ Rinneบทความหลัก: Rinne ทดสอบและทดสอบเวเบอร์การประเมินการได้ยินทำให้การทดสอบอื่นเช่น [1] เพื่อกำหนดชนิดของการสูญเสียการได้ยินมีอยู่ การทดสอบการได้ยินการนำกระดูกมีการบริหารงาน ในการทดสอบนี้ สั่นส้อมจะวางอยู่หลังหู บนกกหู เมื่อผู้ป่วยจะไม่รู้สึก/ได้ยินเสียงการสั่นสะเทือน ส้อมจะจัดขึ้นบริเวณหน้าหู ผู้ป่วยอีกครั้งหนึ่งควรจะได้ยินเสียงเสียง ถ้าพวกเขาไม่สามารถ มีสมที่หู นอกจากนี้ ส้อมวางอยู่บนหน้าผาก ผู้ป่วยแล้วถามถ้า เสียงถูกหน่วงในหัวหรือว่ามันเป็นเสียงดังขึ้นในหูอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีสม มันจะเป็นดังในหูได้รับผลกระทบ ถ้ามีการบรรเทาได้ มันจะเงียบในหูได้รับผลกระทบ การทดสอบนี้ช่วยนักโสตสัมผัสวิทยาที่กำหนดว่า การสูญเสียการได้ยินเป็นตัวนำไฟฟ้า (เกิดจากปัญหาชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง) หรือบรรเทา (เกิดจากปัญหาในหอย อวัยวะรับความรู้สึกของการได้ยิน) หรือระบบประสาท - เกิดจากปัญหาในโสตประสาทหรือทางหูเยื่อหุ้มสมองฟังเสียงการได้ยินในเสียงทดสอบ (ใบ้) วัดความสามารถของบุคคลที่จะได้ยินเสียงเงียบ และเสียงรบกวน [2] ในการทดสอบ ผู้ป่วยจะต้องทำซ้ำประโยค ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ และสัญญาณรบกวนที่แข่งขันกันนำเสนอจากทิศทางที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอยู่สี่เงื่อนไข: ไม่มีเสียงแข่งขันประโยค (1) (2) ประโยครบกวนคู่แข่งที่แสดงตรงด้านหน้าของผู้ป่วย, (3) เสียงแสดงที่ 90 °ไปทางขวาของผู้ป่วย และ (4) เสียงแสดงที่ 90 °ไปทางซ้ายของผู้ป่วย ทดสอบวัดสัญญาณเสียงอัตราการสำหรับเงื่อนไขแตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับประโยคดังวิธีจำเป็นในการเล่นกว่าเสียงรบกวนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำซ้ำได้อย่างถูกต้อง 50% ของเวลา

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ตรวจสอบหูก่อนที่จะมีการทดสอบการได้ยินของตัวเองหูของลูกค้าที่มักจะมีการตรวจสอบที่มี otoscope เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีอิสระของขี้ผึ้งที่แก้วหูเป็นเหมือนเดิมหูจะไม่ติดเชื้อและหูชั้นกลางที่เป็นอิสระของของเหลว ( บ่งบอกถึงการติดเชื้อหูชั้นกลาง) สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในการพัฒนาความสูญเสียการได้ยินเนื่องจากโรคทางพันธุกรรมที่มีปัญหาริ้วรอยสัมผัสกับมลพิษทางเสียงติดเชื้อแทรกซ้อนเกิดการบาดเจ็บหูและยาบางชนิดหรือสารพิษ. เสียงบริสุทธิ์ audiometry ชนิดมาตรฐานและที่พบมากที่สุดของการได้ยินการทดสอบคือ ตรวจการได้ยินเสียงบริสุทธิ์ซึ่งมาตรการอากาศและการนำกระดูกเกณฑ์สำหรับแต่ละหูในชุดของ 8 ความถี่มาตรฐานจาก 250Hz เพื่อ 8000hz การทดสอบจะดำเนินการในบูธเสียงโดยใช้คู่ของหูฟังที่เชื่อมต่อกับเครื่องตรวจการได้ยินภายนอก ผลของการทดสอบที่ได้คือแผนภาพ audiogram ซึ่งแปลงความไวการได้ยินของคนที่ความถี่ทดสอบ นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่มีความถี่สูงของการทดสอบซึ่งการทดสอบความถี่มากกว่า 8000hz เพื่อ 16000hz ซึ่งอาจจะต้องใช้ในกรณีพิเศษ. เวเบอร์และ Rinne บทความหลัก: การทดสอบ Weber และ Rinne ทดสอบ. การประเมินผลการได้ยินที่สมบูรณ์เกี่ยวข้องกับการทดสอบอื่น ๆ อีกหลายเช่นกัน [1] เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ชนิดของสูญเสียการได้ยินเป็นปัจจุบันกระดูกทดสอบการได้ยินการนำเป็นยา ในการทดสอบนี้ส้อมเสียงสั่นวางอยู่หลังใบหูบนปุ่มกกหู เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรู้สึก / ได้ยินการสั่นสะเทือน, ส้อมเสียงจะจัดขึ้นในด้านหน้าของหู; ผู้ป่วยอีกครั้งควรจะสามารถที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หากพวกเขาไม่สามารถมีการสูญเสียการได้ยินในหูว่า นอกจากนี้ส้อมเสียงถูกวางไว้บนหน้าผาก ผู้ป่วยจะถามแล้วถ้าเสียงเป็นภาษาท้องถิ่นในใจกลางของหัวหรือไม่ว่าจะเป็นดังในหูทั้ง หากมีการสูญเสียการได้ยินก็มีโอกาสที่จะมีเสียงดังในหูได้รับผลกระทบ; ถ้ามีประสาทหูเสื่อมก็จะเป็นที่เงียบสงบในหูได้รับผลกระทบ การทดสอบนี้จะช่วยให้นักโสตสัมผัสวิทยาตรวจสอบไม่ว่าจะสูญเสียการได้ยินเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า (ที่เกิดจากปัญหาในหูชั้นนอกหรือกลาง) หรือประสาท (ที่เกิดจากปัญหาในเคีอวัยวะประสาทสัมผัสการได้ยิน) หรือระบบประสาท - เกิดจากปัญหาในโสตประสาท หรือทางเดินหู / เยื่อหุ้มสมองของสมอง. ได้ยินเสียงรบกวนได้ยินในการทดสอบเสียงรบกวน (คำแนะนำ) วัดความสามารถของบุคคลที่จะได้ยินคำพูดในที่เงียบสงบและในเสียง. [2] ในการทดสอบผู้ป่วยที่จำเป็นต้องทำซ้ำประโยคทั้งใน สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและมีการแข่งขันเสียงที่ถูกนำเสนอจากทิศทางที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสี่เงื่อนไข: (1) ประโยคที่มีไม่มีเสียงดังรบกวนการแข่งขัน (2) ประโยคที่มีการแข่งขันเสียงนำเสนอโดยตรงในด้านหน้าของผู้ป่วย (3) เสียงที่นำเสนอใน 90 °ถึงสิทธิของผู้ป่วยและ (4 ) เสียงที่นำเสนอใน 90 °ด้านซ้ายของผู้ป่วย มาตรการการทดสอบอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนสำหรับเงื่อนไขที่แตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับวิธีการดังประโยคที่จำเป็นในการเล่นได้เหนือเสียงเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำซ้ำได้อย่างถูกต้อง 50% ของเวลา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ตรวจหูก่อนที่จะได้ยินทดสอบตัวเอง หูของลูกค้ามักจะตรวจสอบกับ Otoscope เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีอิสระจากขี้ผึ้งที่แก้วหูเหมือนเดิม หูจะไม่ติดเชื้อ และหูชั้นกลาง ฟรี ของของไหล ( บ่งบอกถึงการติดเชื้อหูชั้นกลาง ) เหตุผลที่พบบ่อยที่สุดเพื่อพัฒนาสูญเสียการได้ยินเนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ปัญหาริ้วรอย การเปิดรับเสียงรบกวน , การติดเชื้อ , การเกิดภาวะแทรกซ้อน แผลที่หู และโรคบางอย่าง หรือสารพิษเสียงบริสุทธิ์ ตรวจการได้ยินมาตรฐาน และเป็นชนิดที่พบมากที่สุดของการทดสอบการได้ยินเป็นเสียงบริสุทธิ์ ตรวจการได้ยิน ซึ่งมาตรการที่มีอากาศและกระดูก ซึ่งแต่ละหูในชุด 8 มาตรฐานความถี่จาก 250hz เพื่อ 8000hz . การทดสอบจะดำเนินการในเสียงที่บูธใช้คู่กับหูฟังเชื่อมต่อกับเครื่องตรวจการภายนอก ผลการทดสอบเป็นแผนภาพที่แปลงเป็นคนบอกบทความไวในการทดสอบการได้ยินความถี่ มีความถี่สูงรุ่นของการทดสอบ ซึ่งการทดสอบความถี่มากกว่า 8000hz เพื่อ 16000hz ซึ่งอาจจะใช้ในสถานการณ์พิเศษเวเบอร์และรินเนะบทความหลัก : เวเบอร์ทดสอบและรินเนะ ทดสอบการประเมินผลที่สมบูรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินการทดสอบหลาย ๆเช่นกัน . [ 1 ] เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ชนิดของการสูญเสียการได้ยินเป็นปัจจุบัน , งูปลิงได้ยินการทดสอบเป็นเท่าไหร่ ในการทดสอบนี้ สั่นส้อมเสียงอยู่หลังใบหู บนปุ่มกกหู . เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรู้สึกได้ยินเสียงสั่นสะเทือน ส้อมเสียงที่จัดขึ้นในด้านหน้าของหู ; ผู้ป่วยควรอีกครั้งสามารถได้ยินเสียงเสียง ถ้าพวกเขาไม่สามารถมีการสูญเสียการได้ยินเป็นสื่อกระแสไฟฟ้าในที่หู นอกจากนี้ ส้อมเสียงที่วางอยู่บนหน้าผาก คนไข้แล้วถามว่าเสียงที่เป็นภาษาท้องถิ่น ใน ศูนย์ ของ หัว หรือ ไม่ว่าจะเป็นดังในหู หากมีการสูญเสียการได้ยินเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า , มันน่าจะดังในหูได้รับผลกระทบ หากมีการสูญเสียการได้ยิน sensorineural มันจะเงียบกว่าในหูได้รับผลกระทบ การทดสอบนี้จะช่วย audiologist ตรวจสอบว่าสูญเสียการได้ยินเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า ( เกิดจากปัญหาในภายนอก หรือหูชั้นกลาง ) หรือ sensorineural ( เกิดจากปัญหาใน cochlea ประสาทสัมผัสอวัยวะของการได้ยินหรือประสาทเกิดจากปัญหาในโสตประสาทหรือวิถีการได้ยิน / สมองได้ยินเสียงได้ยินเสียง ( ใบ้ ) ในการทดสอบวัดความสามารถของบุคคลที่จะได้ยินเสียงพูดในที่เงียบสงบและเสียง [ 2 ] ในการทดสอบผู้ป่วยจะต้องย้ำประโยคทั้งในสภาพแวดล้อมที่เงียบ และมีการแข่งขันเสียงที่ถูกนำเสนอจากทิศทางที่แตกต่างกัน มากขึ้นโดยเฉพาะมี 4 เงื่อนไข ( 1 ) ประโยคที่ไม่มีการแข่งขันเสียง ( 2 ) ประโยคด้วยเสียงแสดงคู่แข่งโดยตรงในด้านหน้าของผู้ป่วย ( 3 ) เสียงที่นำเสนอที่ 90 องศาเพื่อสิทธิของผู้ป่วย และ ( 4 ) เสียงที่นำเสนอที่ 90 องศาไปทางซ้ายของผู้ป่วย แบบทดสอบวัดอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวนสำหรับเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการดังประโยคต้องเล่นเหนือเสียงเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำซ้ำได้อย่างถูกต้อง 50% ของเวลา