NECESSARY IMPROVEMENTSRobert Milika

NECESSARY IMPROVEMENTS
Robert Milikan once stated that “…it cannot be too strongly emphasized that it is grasp of principles, not skill in
manipulation, which should be the primary objective of General Physics courses.” Changes that need to be made in
physics education should be done with this goal in mind.
Two major changes need to be made in the way class time is spent. First, lectures should be less one sided, allowing
interaction both among students and between the professor and the students. If the professor spends time answering
the students’ questions and posing questions to them, it is more likely that the professor will become aware of areas
that the students find challenging. Having students work together in class to solve problems with the new material
can also be beneficial, for they will realize immediately if they do not understand it. Secondly, the information that
is taught needs more structure, starting with the basic foundation and working up to the details. Even the most
carefully explained details will be useless to the student who does not see the big picture. Therefore, for each topic
that is taught, the conceptual foundation needs to be laid before the students are taught how to deal with it
mathematically. Teaching students by giving them an equation does not help much. For example, Newton’s second
law is commonly taught as “force equals mass times acceleration.” That just gives the students an equation.
Perhaps a better way to explain this law would be something along the lines of “the acceleration of an object due to
an external force acting on it is proportional to its mass.” This description is wordier and may seem more
complicated, but it has a better chance of helping the students visualize the physical situation and understand where
it comes into play. When students are taught the mathematical representations of a concept, the connection between
the formula and idea needs to be stressed. Students also need to see the connections between the topics they are
taught. Therefore, the conceptual foundation which students should be given needs to be broad enough to
encompass many concepts.
A second set of changes needs to occur in the students’ homework. The plug and chug method is not sufficient in
reinforcing concepts covered in class. It only teaches students to manipulate equations, which essentially is math.
Therefore, the students need to see situations on their homework where formulas are useless. They will only know
if their conceptual knowledge is present and correct if it is tested. Along the lines of homework, professors need to
develop methods of grading the students’ homework problems immediately. Students need to be made aware of
mistakes when the assignment is still fresh in their minds. Students usually have some interest in learning the
material while working on the assignments. However, they will never learn unless they know what they do not
know. These changes in homework may work well but would be difficult for a professor to make on his own. It is
here that some form of technology can to be introduced to the system to make the assignments more efficient and
beneficial.
CAPA: FINDING A SOLUTION WITH TECHNOLOGY
A computer assisted personalized approach (CAPA) for assignments is a technological tool used at Michigan State
University to accomplish some of the goals mentioned above. CAPA was developed in 1993 by a team of
professors as a system for creating individualized assignments. These professors had five principle goals for the
program.
(1) to provide timely feedback on problem solving
Figure 1 Two students’ versions of the same problem
(2) to minimize judging and ranking of students during the learning process
(3) to reward diligent work and encourage students to work together
(4) to reduce the impersonal nature of a large college class
(5) produce a system without tedious grading for large classes
The assignments created on CAPA can be completed by the students entirely through the computer system.
Students can enter their answers to the problems either with a web browser or in a telnet session. As soon as a
student enters an answer, the system tells them whether it is right or wrong. Students are given a multiple number of
tries to get a problem right, as specified by the professor. Students getting a correct answer on the first try receive
no more credit than students getting the correct answer on the last possible try do.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การปรับปรุงที่จำเป็นRobert Milikan เมื่อระบุไว้ที่ "... .it ไม่เกินขอเน้นย้ำว่า เป็นความเข้าใจของหลัก ไม่อยู่ในจัดการ ซึ่งควรเป็นวัตถุประสงค์ของหลักสูตรฟิสิกส์ทั่วไป " การเปลี่ยนแปลงที่ต้องทำในการศึกษาฟิสิกส์ควรจะทำ โดยคำนึงถึงเป้าหมายนี้เปลี่ยนแปลงสำคัญที่สองต้องทำในวิธีที่ใช้เวลาเรียน ครั้งแรก บรรยายควรจะน้อยกว่าหนึ่งหน้า ให้โต้ตอบ ระหว่างนักเรียน และ ระหว่างอาจารย์และนักเรียน ถ้าอาจารย์ใช้เวลาตอบของนักเรียนคำถามและคำถามการวางตัว มีแนวโน้มว่า อาจารย์จะทราบพื้นที่ให้นักเรียนค้นหาความท้าทาย มีนักเรียนที่ทำงานร่วมกันในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหา ด้วยวัสดุใหม่นอกจากนี้ยังสามารถเป็นประโยชน์ สำหรับพวกเขาจะตระหนักถึงทันทีหากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจ ประการที่สอง ข้อมูลที่คือต้องสอนเพิ่มเติมโครงสร้าง เริ่มต้น ด้วยพื้นฐานพื้นฐาน และการทำงานขึ้นกับรายละเอียด แม้ที่สุดอธิบายอย่างละเอียดจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ดังนั้น แต่ละหัวข้อที่สอน แนวคิดพื้นฐานต้องวางก่อนที่นักเรียนได้รับการสอนวิธีการจัดการกับมันทางคณิตศาสตร์ สอนนักเรียนให้เป็นสมการไม่ได้ช่วยมาก เช่น ของที่สองของนิวตันกฎหมายทั่วไปสอนเป็น "แรงเท่ากับมวลเวลาเร่งความเร็ว" ที่เพียงให้การศึกษาสมการบางทีวิธีดีกว่าการอธิบายกฎหมายนี้จะเป็นสิ่งตามแนวของ "ความเร่งของวัตถุเนื่องจากมีแรงภายนอกที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับมันเป็นสัดส่วนกับมวลของมัน" คำอธิบายนี้เป็น wordier และอาจดูเหมือนซับซ้อน แต่มีโอกาสดีที่ช่วยนักเรียนให้เห็นสถานการณ์จริง และเข้าใจว่ามันมาเล่น เมื่อนักเรียนตัวแทนทางคณิตศาสตร์ของแนวคิด การเชื่อมต่อระหว่างสูตรและความคิดที่ต้องการจะเน้น นักเรียนต้องการดูการเชื่อมต่อระหว่างหัวข้อจะสอน ดังนั้น รากฐานแนวคิดที่นักเรียนควรได้รับต้องมีความกว้างพอที่จะครอบคลุมแนวคิดมากมายชุดสองของการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นในบ้านของนักเรียน วิธีการเสียบและ chug ไม่เพียงพอในเสริมแนวคิดเรียนในชั้นเรียน เพียงได้สอนนักเรียนการจัดสมการ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์เป็นหลักดังนั้น นักเรียนต้องดูสถานการณ์ในการบ้านไร้ประโยชน์สูตร พวกเขาจะรู้เท่านั้นถ้าความรู้แนวคิดมีอยู่ และถูกต้องถ้ามีทดสอบ ตามแนวของการบ้าน อาจารย์จำเป็นต้องพัฒนาวิธีการจัดเกรดปัญหาการบ้านของนักเรียนทันที นักเรียนต้องทำตระหนักถึงข้อผิดพลาดเมื่อการกำหนดยังคงสดในจิตใจของพวกเขา นักเรียนมักจะมีความสนใจในการเรียนรู้วัสดุขณะที่ทำงานในการกำหนด อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่เคยเรียนรู้เว้นแต่พวกเขารู้ว่าทำอะไรไม่ทราบ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในบ้านอาจทำงานดี แต่จะเป็นเรื่องยากสำหรับอาจารย์ทำของเขาเอง มันเป็นนี่บางรูปของเทคโนโลยีจะเป็นระบบเพื่อทำการกำหนดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และประโยชน์รองรับ: ค้นหาการแก้ไขปัญหาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยวิธีการส่วนตัว (รองรับ) สำหรับกำหนดเป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ใช้ในรัฐมิชิแกนมหาวิทยาลัยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง รองรับได้รับการพัฒนาในปี 1993 โดยทีมงานอาจารย์เป็นระบบสำหรับการสร้างงานเป็นรายบุคคล อาจารย์เหล่านี้มีเป้าหมายหลักที่ห้าสำหรับการโปรแกรม(1) การให้ผลป้อนกลับทันทีการแก้ปัญหาปัญหาเดียวกันรุ่น 1 รูปสองนัก(2) การตัดสิน และการจัดอันดับในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน(3) ให้รางวัลขยันทำงาน และส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน(4) การลดลักษณะตัวตนของคลาวิทยาลัยขนาดใหญ่(5) ระบบการผลิตโดยไม่ต้องคัดเกรดน่าเบื่อสำหรับชั้นเรียนขนาดใหญ่การกำหนดที่สร้างรองรับสามารถดำเนินการ โดยนักเรียนทั้งหมดผ่านระบบคอมพิวเตอร์นักเรียนสามารถป้อนตอบปัญหาเว็บเบราว์เซอร์ หรือ ในเซสชัน telnet ทันทีนักเรียนเข้าสู่คำตอบ ระบบบอกว่า พวกเขาไม่ว่าจะถูก หรือผิด นักเรียนจะได้จำนวนหลายพยายามที่จะรับปัญหาขวา ตามที่ระบุโดยศาสตราจารย์ รับนักเรียนที่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกไม่มีเครดิตกว่านักเรียนที่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องในสุดครั้งสุดท้ายพยายามทำ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

จำเป็นต้องปรับปรุงโรเบิร์ต Milikan ครั้งหนึ่งเคยระบุไว้ว่า "... มันไม่สามารถที่จะเน้นมากเกินไปอย่างยิ่งว่ามันเข้าใจในหลักการไม่ได้ทักษะในการจัดการซึ่งควรจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของหลักสูตรฟิสิกส์ทั่วไป." การเปลี่ยนแปลงที่จะต้องทำในการศึกษาฟิสิกส์ที่ควรจะเป็น ทำโดยมีเป้าหมายในใจ. สองการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจะต้องมีการทำในเวลาเรียนวิธีการคือการใช้จ่าย ครั้งแรกที่บรรยายควรจะน้อยหนึ่งในด้านที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันทั้งในหมู่นักเรียนและระหว่างอาจารย์และนักเรียน หากอาจารย์ใช้เวลาตอบคำถามของนักเรียนและวางตัวคำถามพวกเขาก็มีโอกาสมากขึ้นที่อาจารย์จะตระหนักถึงพื้นที่ที่พบว่านักเรียนมีความท้าทาย มีนักเรียนทำงานร่วมกันในระดับที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัสดุใหม่ที่ยังสามารถเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาจะรู้ทันทีว่าพวกเขาไม่เข้าใจมัน ประการที่สองข้อมูลที่จะสอนความต้องการโครงสร้างมากขึ้นเริ่มต้นด้วยพื้นฐานและการทำงานขึ้นอยู่กับรายละเอียด ได้มากที่สุดรายละเอียดอธิบายอย่างรอบคอบจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ดังนั้นสำหรับแต่ละหัวข้อที่สอนพื้นฐานความคิดความต้องการที่จะวางก่อนที่นักเรียนได้รับการสอนวิธีการที่จะจัดการกับมันในทางคณิตศาสตร์ การเรียนการสอนนักเรียนโดยให้พวกเขาสมการไม่ได้ช่วยมาก ตัวอย่างที่สองของนิวตันกฎหมายที่สอนกันทั่วไปว่าเป็น "พลังเท่ากับเร่งมวลครั้ง." ที่เพิ่งจะช่วยให้นักเรียนสม. บางทีอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าที่จะอธิบายได้ว่ากฎหมายนี้จะเป็นสิ่งที่ตามสายของ "การเร่งความเร็วของวัตถุเนื่องจากแรงภายนอกกระทำต่อมันเป็นสัดส่วนกับมวลของมัน. "คำอธิบายนี้เป็น wordier และอาจดูเหมือนจะมากขึ้นซับซ้อนแต่ก็มีโอกาสที่ดีกว่าในการช่วยให้นักเรียนเห็นภาพสถานการณ์ทางกายภาพและเข้าใจในสิ่งที่มันเข้ามาในเล่น เมื่อนักเรียนได้รับการสอนการเป็นตัวแทนทางคณิตศาสตร์ของแนวคิดการเชื่อมต่อระหว่างสูตรและความคิดที่จะต้องมีการเน้น นอกจากนี้นักศึกษายังต้องดูการเชื่อมต่อระหว่างหัวข้อที่พวกเขาเป็นผู้สอน ดังนั้นการวางรากฐานความคิดที่นักเรียนควรจะได้รับจะต้องกว้างพอที่จะครอบคลุมหลายแนวคิด. ชุดที่สองของการเปลี่ยนแปลงความต้องการที่จะเกิดขึ้นในบ้านของนักเรียน ปลั๊กและวิธีการซักไม่เพียงพอในแนวคิดเสริมปกคลุมในชั้นเรียน มันสอนนักเรียนในการจัดการกับสมการซึ่งเป็นหลักคือคณิตศาสตร์. ดังนั้นนักเรียนต้องดูสถานการณ์ในบ้านของพวกเขาที่สูตรจะไร้ประโยชน์ พวกเขาจะได้รู้ว่าถ้ามีความรู้ความคิดของพวกเขาเป็นปัจจุบันและถูกต้องหากจะมีการทดสอบ ตามสายของบ้านอาจารย์จำเป็นต้องพัฒนาวิธีการจัดลำดับของนักเรียนการบ้านทันที นักศึกษาจะต้องรับรู้ถึงข้อผิดพลาดเมื่อได้รับมอบหมายยังคงสดในจิตใจของพวกเขา นักเรียนมักจะมีความสนใจในการเรียนรู้วัสดุขณะที่ทำงานในการกำหนด แต่พวกเขาจะไม่ได้เรียนจนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาไม่ได้รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในบ้านอาจทำงานได้ดี แต่จะเป็นเรื่องยากสำหรับอาจารย์ที่จะทำให้ตัวเขาเอง มันเป็นที่นี่ที่รูปแบบของเทคโนโลยีบางคนสามารถที่จะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับระบบเพื่อให้ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นประโยชน์. CAPA: การแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยวิธีการส่วนบุคคล(CAPA) สำหรับการมอบหมายงานเป็นเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในรัฐมิชิแกนมหาวิทยาลัยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างที่กล่าวข้างต้น CAPA ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี 1993 โดยทีมงานของอาจารย์เป็นระบบสำหรับการสร้างรายบุคคลที่ได้รับมอบหมาย อาจารย์เหล่านี้มีห้าเป้าหมายหลักการสำหรับโปรแกรม. (1) ให้ข้อเสนอแนะเวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหารูปที่1 ทั้งสองรุ่นของนักเรียนปัญหาเดียวกัน(2) เพื่อลดการตัดสินและการจัดอันดับของนักเรียนในระหว่างขั้นตอนการเรียนรู้(3) เพื่อให้รางวัลแก่ขยัน การทำงานและส่งเสริมให้นักเรียนที่จะทำงานร่วมกัน(4) เพื่อลดลักษณะตัวตนของชั้นวิทยาลัยขนาดใหญ่(5) การผลิตระบบโดยไม่มีการจัดลำดับที่น่าเบื่อสำหรับชั้นเรียนขนาดใหญ่ที่ได้รับมอบหมายที่สร้างขึ้นบนCAPA สามารถเสร็จโดยนักเรียนทั้งหมดผ่านระบบคอมพิวเตอร์. นักเรียน สามารถป้อนคำตอบในการแก้ไขปัญหาทั้งที่มีเว็บเบราเซอร์หรือในเซสชันเทลเน็ต ทันทีที่นักเรียนจะเข้าสู่คำตอบระบบบอกพวกเขาไม่ว่าจะถูกหรือผิด นักเรียนจะได้รับเป็นจำนวนหลายพยายามที่จะได้รับสิทธิในปัญหาตามที่ระบุโดยอาจารย์ นักเรียนได้รับการตอบที่ถูกต้องในครั้งแรกลองรับไม่มีเครดิตมากขึ้นกว่านักเรียนที่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ผ่านมาลองทำ