ในปัจจุบันได้มีการศึกษาการประสานตัวของรอยแตกในหินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกลือหิน (Rock salt) ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้โดยตรงกับโครงสร้างทางวิศวกรรมใต้ดิน เช่น การทำเหมืองเกลือและเหมืองโพแทซใต้ดิน การทิ้งกากของเสียจากภาคอุตสาหกรรมลงไปในช่องเหมือง การสร้างโพรงเก็บก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในยามขาดแคลนพลังงาน เป็นต้น ตัวอย่างของโครงสร้างทางวิศวกรรมธรณีใต้ดินที่อาจเกิดความเสียหายอันมีสาเหตุเนื่องมาจากรอยแตกขนาดเล็กไปจนถึงความไม่ต่อเนื่องขนาดใหญ่ในเกลือหิน เช่น 1) การอัดอากาศลงไปในโพรงกักเก็บในช่วงพลังงานเหลือใช้และการปล่อยอากาศออกมาผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงที่พลังงานขาดแคลน มีผลทำให้อุณหภูมิในโพรงกักเก็บมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้รอยแตกขนาดเล็กมีการขยายตัวได้ จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการ เมื่อเกิดการรั่วไหลหรือรอยแตกร้าว แนะนำให้ใช้ healing under hydrostatic stresses at ambient temperature ซึ่งจะทำให้ค่า healing effectiveness มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ซึ่งเหมาะสำหรับการซ่อมบำรุงโครงสร้างกักเก็บที่มีการใช้งานแบบเป็น cycle จึงสามารถช่วยลดระยะเวลาและลดต้นทุนในการซ่อมบำรุงได้มากขึ้น
2) การทำปฏิกิริยาของสารเคมีในโพรงกักเก็บของเสียทางอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้อุณหภูมิในโพรงกักเก็บเกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลทำให้สเถียรภาพของโพรงกักเก็บลดลงได้ เป็นต้น เมื่อเกิดการรั่วไหลของสารเคมีหรือสารพิษออกมาตามรอยแตกหรือรอยแยกเล็กๆ การซ่อมแซมหรือการบำรุงรักษาควรจะเลือกใช้วิธี healing under uniaxial stresses ทำที่อุณหภูมิล้อมรอบ ซึ่งมีความเหมาะสมกว่า healing under hydrostatic stresses at ambient temperature (เนื่องจากโพรงกักเก็บของเสียจำเป็นมีธรณีโครงสร้างและตรวจสอบการรั่วไหลของสารเคมีหรือของเสีย) เพื่อให้รอยแตกเชื่อมประสานกัน เนื่องจากการทำปฏิกิริยาของสารเคมีหรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมจะทำให้เกิดความร้อนขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นจะสามารถช่วยให้ค่า healing effectiveness มีค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการบำรุงรักษาและการป้องกันสารเคมีรั่งไหลลงได้