สรุปผลการศึกษา
จากการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้มีงานทำของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปาง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปาง อยู่ชั้นปีที 1-4
1.ปัจจัยที่มีผลต่อการมีงานทำหลังสำเร็จการศึกษา
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ผู้หญิงตอบแบบสอบถาม 80% และผู้ชายตอบแบบสอบถาม 20% ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีงานทำ จากความพึงพอใจแยกคณะ เป็น 5 คณะ ดังนี้
1.1 คณะนิติศาสตร์ มีความคิดเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำมากที่สุดดังนี้ บุคลิกภาพ35%
1.2 คณะวิทยาลัยสหวิทยาการสังคมศาสตร์ ความคิดเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำมากที่สุด ดังนี้ชื่อเสียงมหาวิทยาลัย 31%
1.3 คณะสังคมสงเคราะห์ ความคิดเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำมากที่สุดดังนี้ ไม่มีความกดดัน/พ่อแม่สนับสนุน33%
1.4 คณะสาธารณสุขศาสตร์ ความคิดเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำมากที่สุดดังนี้ บุคลิก 35%
1.5 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ความคิดเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำมากที่สุดดังนี้ บุคลิกภาพ34%
จากการสำรวจทุกคณะสามารถนำข้อมูลมารวมกัน เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปาง ดังนี้ ผลการศึกษา 15% ชื่อเสียงมหาลัย14% ไม่กดดัน/ครอบครัวสนับสนุน14% พฤติกรรมการใช้โซเซียลเช่น การโพสต์ 14% ประสบการฝึกงาน 12% นิสัยส่วนตัว12%ทัศนคิตในการทำงาน11% ครอบครัวกดดัน /ถูกบังคับ5% เพศ 3% ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีงานทำหลังเรียนจบของนักศึกษาธรรมศาสตร์ ศุนย์ลำปาง 3 อันดับ คือ ปัจจัยทางด้านผลการศึกษา รองลงมา คือ ชื่อเสียงมหาลัย ไม่กดดัน/ครอบครัวสนับสนุน และพฤติกรรมการใช้โซเซียลเช่น การโพสต์
ผลการวิเคราะห์จากการสัมภาษณ์พี่ๆที่กำลังจะจบการศึกษา พบว่า ปัญหาที่สำคัญมากสำหรับบัณฑิตจบใหม่ คือ การหาประสบการณ์ในการทำงาน หากทำงานไม่เป็นก็ไม่สามารถรับมือหรือแก้ไขกับปัญหาต่างๆได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับภาษา ที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ปัจจุบันได้เข้าสู่ AEC ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆล้วนมีความสำคัญมากต่อการมีงานทำมาก และผลการเรียนก็มีผลมาก เพราะเกรดเฉลี่ย แสดงถึงความรับผิดชอบ และยังเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของบริษัทนั้นอีกด้วย จากผลการศึกษาพบว่าปัญหาที่นักศึกษาธรรมศาสตร์ (ศูนย์ลำปาง) คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อการมีงานทำที่สุดได้แก่ การได้รับความกดดันจากสังคม มีประสบการณ์การทำงานไม่เพียงพอ บุคลิกยังไม่ดี การแข่งขันสูง การเข้ากับที่ทำงานไม่ได้ หวาดกลัวต่อการทำงาน ไม่รู้งานที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ความสามารถไม่ถึง มีค่าครองชีพที่ใช้ในการทำงานสูง และผลการเรียนไม่ค่อยดี
2. วิธีการในการเสริมสร้างความมั่นใจ จากการสัมภาษณ์พบว่า การที่เราจะสามารถเสริมสร้างความมั่นใจในการทำงานหลังเรียนจบ คือ
2.1 การหาประสบการณ์ในการทำงานเพิ่ม เพราะว่า การลองทำงานก่อนเรียนจบไม่ว่าจะเป็นการพุ่งเป้าไปที่งานที่เราสนใจที่เดียว หรือการลองผิดลองถูก ทำงานหลาย ๆ ที่ ล้วนเป็นการสร้างสมประสบการณ์ให้ตัวเราได้อย่างดีทั้งนั้น ประสบการณ์ทั้งบวกและลบที่ได้จากการทำงานในขณะที่เรียนเหล่านี้ จะทำให้เราเติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะเร็วขึ้น และเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่เราเวลาที่เราออกไปทำงานข้างนอกจริง ๆ และ ได้เปรียบคนที่ไม่เคยทำมาก่อน ได้เรียนรู้ ได้ฝึกการทำงานร่วมกับคนอื่น
2.2 การหาเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะว่า ทำให้เรารู้จักตัวตน บุคลิก นิสัยใจคอ ของเราเองได้ดีขึ้นว่า เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร งานนั้น ๆ เหมาะกับบุคลิกและความถนัดของเรา คำตอบของคำถามจะสะท้อนความเป็นตัวเรา สิ่งที่เราสนใจ และทัศนคติของเราเพื่อประกอบการพิจารณาเข้าทำงาน
2.3 การเรียนรู้ภาษาเพิ่ม เพราะว่า ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ เป็นภาษาที่ช่วยให้การติดต่อทางธุรกิจมีความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้คนทำงานที่อยู่กันคนละประเทศมีความเข้าใจกันมากขึ้น จึงเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของการทำงาน หากพูดไม่ได้ ก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับการทำงานได้ หรือแม้แต่การสมัครงานเอง หากเราไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี โอกาสที่จะได้งานทำก็มีน้อยลง ภาษา ยัง เป็นสื่อกลางในการสื่อสารเมื่อเปิด AEC เมื่อมีการเปิด AEC อย่างเต็มตัวแล้ว เราจะรู้สึกว่าภาษาอังกฤษแม้แต่ภาษาจีน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน หากพูดไม่ได้ก็ไม่ต่างจากคนที่เป็นใบ้ เกิดอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น เราจึงต้องหมั่นฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษให้ดี เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสที่ดีเมื่อมีการเปิด AEC และ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้คนทำงาน
2.4 การเตรียมความพร้อม เพราะว่า ปัจจุบันการรับคนเข้าทำงานในทุกวันนี้จะพิจารณา สิ่งอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บุคลิกภาพ ความคล่องตัว ความอดทน ความเป็นคนมีปฏิภาณ ไหวพริบ เป็นต้น การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในการหางาน ทำหรือสมัครงาน จึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดี และควรทำ เข้าทำนองที่ว่า "ฟอร์มดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ซึ่งการไปหางานหรือการไปสมัครงานเปรียบ เสมือนกับคุณเป็นเซลล์แมน หรือเซลล์วูแมน ที่จำเป็นจะต้อง เตรียมความพร้อมในการสมัครงาน โดย คุณจำเป็นจะต้องมีเทคนิค วิธีการต่างๆ ที่ทำให้ผู้ซื้อ สินค้า (นายจ้าง) พร้อมที่อยากจะได้สินค้า (ตัวคุณ) เอาไว้ ถ้าคุณทำได้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จในการ หางานทำมีมาก ดังนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์ว่า "ตกงาน" ก่อนหางานทำ ควรเตรียมความพร้อมดังนี้
1. ค้นพบตัวเองให้ชัดเจน
2. ติดตามข่าวสาร
3. การมองหาแหล่งงาน
4. การเขียนเอกสารประวัติย่อ เช่น Resume, จดหมายสมัครงาน, การเขียนใบสมัคร
5. การสัมภาษณ์
2.5 การตั้งใจเรียน เพราะว่า การที่เราตั้งใจเรียน มีความรู้ และส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยรวมออกมาได้ดี การรับเข้าทำงานในแต่ละที่ย่อมกำหนดเกรดเฉลี่ย ถ้าเรามีเกรดเฉลี่ยที่ดี ย่อมมีโอกาสสูงกว่า และมีสิทธิ์ได้รับการเข้า