(เพลี้ยไฟ)
• มีปีกใส 2 คู่ ปีกเป็นแผ่นบางยาวและแคบ ขอบปีกมีขนยาวล้อมรอบ
• เป็นแมลงขนาดเล็กถึงเล็กมาก ความยาวไม่เกิน 1.5 มม.
• มีปากแบบเจาะดูด กินน้ำเลี้ยงพืชเป็นอาหาร ทำให้ใบหรือดอกพืชแห้ง เป็นรอยเหมือนถูกไฟไหม้จึงเรียกว่า เพลี้ยไฟ
(แมลงปอ)
• มีปีก 2 คู่ เป็นแผ่นบางยาวเรียว
• ปากเป็นแบบกัดกิน
• ตัวอ่อนอยู่ในน้ำ
• เป็นแมลงที่มีประโยชน์ ทั้งตัวเต็มวัยและตัวอ่อนเป็นตัวห้ำกินแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร
(ปลวก)
• เป็นแมลงสังคมอยู่ร่วมกัน โดยแบ่งเป็นวรรณะต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันไป
• ตัวผู้และตัวเมียมีปีก เรียกว่า แมลงเม่า เมื่อผสมพันธุ์แล้วสลัดปีกออกสร้างรัง ตัวเมียที่เรียกว่า นางพญาปลวก ทำหน้าที่ออกไข่ โดยมีปลวกงานเป็นผู้ดูแลตัวอ่อน และปลวกทหารทำหน้าที่ดูแลรัง
• ปลวกสามารถกินไม้ ซึ่งเป็นเซลลูโลสได้ เนื่องจากในทางเดินอาหารปลวกมีโปรโตซัว (protozoa) ซึ่งเป็นสัตว์เซลเดียวอยู่ โดยโปรโตซัวนี้สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้
(แมลงหางหนีบ)
• มีปีก 2 คู่ ปีกคู่หน้าคล้ายปีกของด้วงปีกแข็ง แต่สั้นไม่คลุมส่วนท้อง ปีกคู่หลังเป็นแผ่นบางรูปครึ่งวงกลมคล้ายพัดมีเส้นปีกแข็งเป็นรัศมีโดยรอบ
• ปากแบบกัดกิน
• บริเวณปลายท้องมีอวัยวะคล้ายคีมหรือปากคีบ ยื่นยาวออกมา 1 คู่ ใช้สำหรับจับแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร ดังนั้นแมลงหางหนีบจึงเป็นแมลงที่มีประโยชน์โดยเป็นตัวห้ำ
(แมลงช้าง แมลงช้างปีกใส)
• มีปีกใส 2 คู่ แต่ละคู่มีเส้นปีกทั้งตามยาวและตามขวางมาก
• ปากเป็นแบบกัดกิน มีเขี้ยวใหญ่แข็งแรง
• ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัยเป็นตัวห้ำที่มีประโยชน์ จับสัตว์และแมลงอื่นตัวเล็กๆ กินเป็นอาหาร
(แมลงแมงป่อง)
• มีปีก 2 คู่ ปีกใสแคบยาว ส่วนใหญ่มีจุดหรือแถบสีน้ำตาลพาดขวางเวลาพับปีกจะแบนราบไปบนหลัง
• ปากแบบกัดกินอยู่ที่ปลายของส่วนหน้าที่ยื่น ชี้ลงด้านล่างคล้ายงวง
• ปลายท้องของเพศผู้บางชนิดพองออกเป็นกระเปาะ และชี้งอนขึ้นไปทางด้านหน้าคล้ายหางแมงป่อง จึงเรียกแมลงในอันดับนี้ว่า แมลงแมงป่อง
• ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัยเป็นตัวห้ำกินแมลงเล็กๆเป็นอาหาร หรืออาจกินเศษซากพืชและซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย
(มวน)
• มีปีก 2 คู่ ปีกคู่หน้ามีลักษณะกึ่งอ่อนกึ่งแข็ง โดยบริเวณโคนปีกมีลักษณะแข็ง ส่วนปลายปีกเป็นแผ่นอ่อน ปีกคู่หลังเป็นแผ่นบาง
• ปากเป็นปากแบบเจาะดูด ทำลายศัตรูพืชโดยการดูดน้ำเลี้ยงพืช ทำให้พืชแห้งตาย
• แมลงในอันดับนี้ส่วนใหญ่มีต่อมกลิ่น อยู่ที่ด้านบนส่วนอกและส่วนท้อง เมื่อถูกรบกวนจะปล่อยกลิ่นฉุนออกมา แต่บางครั้งชาวบ้านชอบนำแมลงในอันดับนี้ ไปตำเป็นน้ำพริกรับประทาน เช่นแมลงดานา เป็นต้น
(แมลงวัน แมลงหวี เหลือบ ยุง)
• มีปีกเพียง 1 คู่
• แมลงในอันดับนี้ส่วนใหญ่ มีขนาดค่อนข้างเล็ก ลำตัวอ่อนนุ่ม
• ปากมีได้หลายแบบเช่น แบบเจาะดูด ได้แก่ ปากยุง แบบกัดซับดูด เช่น ปากเหลือบ และแบบซับดูด เช่น ปากแมลงวัน เป็นต้น
• เป็นพวกที่มีความสำคัญทางด้านการแพทย์ เช่น ยุงนำโรคไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก และโรคเท้าช้าง สำหรับแมลงวันบ้านเป็นพาหนะนำโรคไข้รากสาดน้อย (typhoid) ท้องร่วง อหิวาตกโรค สำหรับแมลงวันที่มีประโยชน์ได้แก่ แมลงวันดอกไม้ ตัวเต็มวัยชอบอาศัยอยู่ตามดอกไม้ต่างๆ ช่วยในการผสมเกสรพืช ส่วนตัวหนอนเป็นตัวห้ำกินแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร สำหรับแมลงวันก้นขนเป็นตัวเบียนที่มีประโยชน์โดยตัวเมียวางไข่ไว้บนตัวของหนอนผีเสื้อ เมื่อหนอนแมลงวันฟักออกมาเป็นตัวจะเจาะเข้าไปเจริญเติบโตอยู่ในตัวหนอนผีเสื้อ ทำให้หนอนผีเสื้อ ซึ่งเป็นศัตรูพืชตายไป
(จักจั่น เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย)
• มีปีกบางใส 2 คู่ แต่ตัวเมียบางชนิดไม่มีปีก
• ปากแบบเจาะดูด ทำลายพืชโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้ส่วนที่ถูกทำลาย เช่น ใบ ดอก หรือ ผล แห้งตายไป
• บางชนิดสร้างสารออกมาเป็นเกราะหุ้มตัว เรียกว่า เพลี้ยหอย บางชนิดสร้างสารสีขาวๆ คล้ายขี้ผึ้งออกมาหุ้มตัว เรียกว่า เพลี้ยแป้ง พวกนี้ส่วนใหญ่ตัวเมียไม่มีปีก เกาะอยู่กับที่
• พวกจักจั่น ตัวอ่อนอยู่ตามดินดูดกินรากไม้เป็นอาหาร เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วขึ้นมาเกาะอยู่ตามต้นไม้และลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย จักจั่นตัวผู้มีอวัยวะทำเสียงอยู่บริเวณด้านใต้ลำตัวของท้องปล้องแรกต่อกับส่วนอก เสียงของจักจั่นแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ผู้เชี่ยวชาญสามารถจำแนกชนิดของจักจั่นได้โดยฟังเสียงของมัน จักจั่นตัวเมียไม่มีอวัยวะทำเสียง
(ตั๊กแตน จิ้งหรีด แมลงสาบ)
• มีปีก 2 คู่ ปีกคู่หน้าค่อนข้างหนาทึบยาวเรียว ปีกคู่หลังเป็นแผ่นบางใสพับอยู่ใต้ปีกหน้า
• ปากแบบกัดกิน
• มีทั้งชนิดที่เป็นโทษและเป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษได้แก่ ตั๊กแตนที่กัดกินทำลายพืช ซึ่งเมื่อเกิดการระบาด ขึ้นแล้วทำความเสียหายมากเช่น การระบาดของตั๊กแตนปาทังก้า แต่ในปัจจุบันได้มีการนำตั๊กแตนปาทังก้ามาใช้ประโยชน์ โดยการนำมารับประทานเป็นอาหาร ซึ่งนอกจากตั๊กแตนปาทังก้าแล้ว ยังมีตั๊กแตนและจิ้งหรีดอีกหลายชนิด ตั๊กแตนบางชนิดมีประโยชน์ตามธรรมชาติ โดยเป็นตัวห้ำกินแมลงศัตรูพืชเป็นอาหาร เช่น ตั๊กแตนตำข้าวเป็นต้น โดยใช้ขาหน้าซึ่งมีลักษณะคล้ายคีมจับแมลงกินเป็นอาหาร