ผลกระทบของวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ต่อเศรษฐกิจไทย
“วิกฤตซับไพรม์” หรือ “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” ที่ขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดขึ้นในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จึงแพร่ขยายไปยังประเทศอื่นทั้งประเทศในยุโรป เอเชีย
ละตินอเมริกา และรวมถึงประเทศไทยด้วยที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์นี้ เมื่อสถาบันการเงินมีปัญหา สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหาในการบริหารจัดการสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจและเอกชน ส่งผลให้ปัญหาขยายตัวและลุกลามไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ รวมถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน จึงเป็นไปได้ยากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่นี้ได้
ผลกระทบของวิกฤตชับไพรม์ ที่มีต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทยผ่านทาง 3 ช่องทาง อันได้แก่ ภาคการเงิน ตลาดทุน และการค้าระหว่างประเทศ
ช่องทางที่ 1 : ผลกระทบผ่านภาคการเงิน
ในปัจจุบัน แม้บางประเทศอาจมีกฎหมายคุ้มครองการเปิดเสรีภาคบริการทางการเงินอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ระบบการเงินโลกมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด ในระดับมหภาค เมื่อเกิดภาวะการขาดสภาพคล่องอย่างหนัก และความปั่นป่วนในภาคการเงินของประเทศหนึ่ง สภาวการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงประเทศอื่นด้วย ในขณะเดียวกัน ถ้าพิจารณาระบบเศรษฐกิจในระดับจุลภาค เนื่องจากภาคการเงินเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคธุรกิจและครัวเรือน หากภาคการเงินเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ปัญหาดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อระดับการบริโภคและการลงทุน เรื่อยไปจนถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ในกรณีของประเทศไทยแล้ว หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 แล้ว สถาบันการเงินของประเทศไทยดำเนินการอย่างระมัดระวังกับธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งมีการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับการกำกับดูแลการดำเนินการของสถาบันการเงิน และการที่สถาบันการเงินและนักลงทุนในประเทศไทยยังไม่คุ้นเคยกับตราสารอนุพันธ์มากนัก ปัจจัยเหล่านี้มีผลให้การดำเนินธุรกรรมและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางการเงินมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งขณะปี พ.ศ.2551 สถาบันการเงินในประเทศไทยจึงยังมีความมั่นคงอยู่มาก มีการดำเนินนโยบายการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนอย่างระมัดระวัง
ดังจะเห็นได้จากระดับการถือครองสินทรัพย์ต่างชาติ ที่มีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ นับเป็นอัตราส่วนประมาณร้อยละ 10 รวมถึงสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากที่ต่ำ เมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน และสัดส่วนของหนี้ที่คาดว่าจะสูญต่อสินทรัพย์ก็อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ดังนั้น ปัญหาเดียวที่ภาคการเงินของประเทศไทยกำลังเผชิญในขณะนั้น คือ สภาพคล่องที่เริ่มตึงตัวขึ้น และต้นทุนของเงินทุนจากสถาบันการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความตึงตัวของสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่ทวีตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ระบบการเงินและสถาบันการเงินของประเทศไทยในขณะนั้น ยังมีสถานะเข้มแข็งต่อวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินของประเทศไทยได้บทเรียนจากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง จึงมีนโยบายการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนที่รัดกุม และยากที่วิกฤตซับไพรม์จะมีผลกระทบรุนแรงต่อสถาบันการเงินในประเทศไทย จึงสรุปได้ว่า วิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยผ่านช่องทางภาคการเงินได้อย่างจำกัด