Scientists at Oxford in Britain and

Scientists at Oxford in Britain and Leuven in Belgium reconstructed the history of the HIV pandemic using historical records and DNA samples of the virus dating back to the late 1950s. The DNA allowed them to draw up a family tree of the virus that traced its ancestry through time and space.Using statistical models they could push farthar back than the 1950s and locate the origin of the pandemic in Kinshasa. People with HIV in central Africa at the time did not have specific symptoms that would have been written down in their medical records. The virus causes the immune system to collapse,leaving people open to all manner of infections. "For an epidemic like HIV where we are trying to track back to before it was even discovered, genetics is the only source of information we have," said Oliver Pybus, a senior author on the study. At first, HIV was an infection confined to specific groups of people. But the virus seemed to break out into the general population and spread around the world after what was than known as the Republic of Congo achieved independence 1960.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

นักวิทยาศาสตร์ที่อ็อกฟอร์ดในสหราชอาณาจักรและ Leuven เบลเยียมเชิดประวัติของเอชไอวีระบาดใช้ระเบียนประวัติและตัวอย่างดีเอ็นเอของไวรัสจะมินิปลาย ดีเอ็นเอได้รับอนุญาตให้วาดต้นไม้ตระกูลของไวรัสที่ติดตามความมืดผ่านเวลาและพื้นที่ใช้แบบจำลองทางสถิติจะสามารถผลักดัน farthar กลับกว่ามินิ และค้นหาจุดที่ระบาดในกินชาซา คนที่ มีเอชไอวีในแอฟริกากลางที่เวลาไม่มีอาการเฉพาะที่จะมีการเขียนลงในบันทึกทางการแพทย์ ไวรัสทำให้ยุบ ระบบภูมิคุ้มกันออกจากคนเปิดลักษณะทั้งหมดของการติดเชื้อ "โรคระบาดเช่นเอชไอวีซึ่งเรากำลังพยายามติดตามไปก่อนเป็นการค้นพบแม้ พันธุศาสตร์เป็นเพียงแหล่งที่มาของข้อมูลที่เรามี กล่าวว่า Oliver Pybus ผู้เขียนอาวุโสในการศึกษา ครั้งแรก เอชไอวีติดเชื้อถูกคุมขังของคนเฉพาะกลุ่ม แต่ไวรัสดูเหมือนจะ แตกออกเป็นประชากรทั่วไป และแพร่กระจายไปทั่วโลกหลังจากที่ถูกกว่าเรียกว่าสาธารณรัฐคองโกได้รับเอกราช 1960

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

นักวิทยาศาสตร์ที่ฟอร์ดในอังกฤษและ Leuven ในเบลเยียมสร้างขึ้นใหม่ประวัติศาสตร์ของการแพร่ระบาดเอชไอวีโดยใช้การบันทึกทางประวัติศาสตร์และตัวอย่างดีเอ็นเอของไวรัสย้อนหลังไปถึงปลายปี 1950 ดีเอ็นเอได้รับอนุญาตให้วาดขึ้นต้นไม้ครอบครัวของไวรัสที่สืบเชื้อสายผ่านเวลาและแบบจำลองทางสถิติ space.Using พวกเขาสามารถผลักดันกลับ farthar กว่าปี 1950 และหาที่มาของการแพร่ระบาดในกินชาซา คนที่มีเอชไอวีในภาคกลางของแอฟริกาในเวลาไม่ได้มีอาการเฉพาะที่จะได้รับการเขียนลงในบันทึกทางการแพทย์ของพวกเขา ไวรัสที่ทำให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันที่จะยุบทิ้งคนเปิดให้ลักษณะของการติดเชื้อทั้งหมด "สำหรับการระบาดของโรคเอชไอวีที่เรากำลังพยายามที่จะติดตามกลับไปก่อนที่จะถูกค้นพบแม้พันธุศาสตร์เป็นแหล่งเดียวของข้อมูลที่เรามี" โอลิเวอร์ Pybus นักเขียนอาวุโสในการศึกษากล่าวว่า ตอนแรกเอชไอวีเป็นเชื้อถูกคุมขังในกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงของผู้คน แต่ไวรัสดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นประชากรทั่วไปและแพร่กระจายไปทั่วโลกหลังจากสิ่งที่ถูกกว่าที่รู้จักกันในสาธารณรัฐคองโกบรรลุความเป็นอิสระ 1960

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

นักวิทยาศาสตร์ที่ออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษและนิวยอร์กในเบลเยียมที่สร้างประวัติศาสตร์ของเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ใช้บันทึกประวัติศาสตร์ และดีเอ็นเอของไวรัส ย้อนกลับไปยุค 50 สาย ดีเอ็นเอ อนุญาตให้พวกเขาวาดขึ้นในต้นไม้ครอบครัวของไวรัส ที่สืบเชื้อสายผ่านเวลาและพื้นที่การใช้โมเดลทางสถิติที่พวกเขาสามารถผลักดัน farthar กลับกว่าทศวรรษ 1950 และระบุที่มาของการระบาดในกินชาซา . ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในแอฟริกากลางในเวลาที่ไม่ได้มีเฉพาะอาการที่เคยเขียนลงในบันทึกทางการแพทย์ของพวกเขา ไวรัสที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้องยุบทิ้ง คนเปิด ลักษณะของเชื้อ" โรคระบาด เช่น เอดส์ ที่เราพยายามที่จะติดตามกลับก่อนที่จะถูกค้นพบ พันธุศาสตร์เป็นแหล่งเดียวของข้อมูลที่เราได้กล่าวว่า " โอลิเวอร์ pybus เป็นผู้เขียนอาวุโสด้านการศึกษา ที่แรกคือการติดเชื้อเอชไอวีอยู่ในกลุ่มเฉพาะของคนแต่ไวรัสจะแบ่งออกในประชากรทั่วไป และแพร่กระจายไปทั่วโลก หลังจากที่มันได้มากกว่าที่รู้จักกันเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกได้รับเอกราช พ.ศ.