It is a familiar tale of greed, stu

It is a familiar tale of greed, stupidity and self-destruction. For hundreds of years the inhabitants of one of the most remote islands on Earth vied with each other to build ever more impressive statues, pillaging their resources to feed their obsession. Ecological disaster was inevitable. As the island's last tree was felled, the society collapsed into a holocaust of internecine warfare, starvation and cannibalism. Rival clans toppled each other's statues. Armed with deadly obsidian-tipped spears, the workers rose up against their rulers. The vanquished were either enslaved or eaten.This version of events on Easter Island has become not onlyreceived wisdom, but a dark warning about a possible fate for our entire planet.

"The parallels between Easter Island and the whole modern world are chillingly obvious," writes Jared Diamond of the University of California, Los Angeles, in Collapse. "Easter's isolation makes it the clearest example of a society that destroyed itself by overexploiting its own resources." Here is the perfect illustration of the idea that humanity contains the seeds of its own destruction. But is it true or, in our eagerness to think the worst of our species, have we been seduced by mythologies?That is the question now being asked. Researchers point to mounting evidence that prehistoric occupants of Rapa Nui, as it is known by locals, made asuccess of life on the island. What's more, it seems the theory of self-destruction might conceal an even less palatable truth about what caused the ultimate toppling of this society. At the very least, there is painfully little archaeological evidence for the fundamental claims that underpin the self-destruction theory. "Much of what has been written about Easter Island is little more than speculation," says Terry Hunt of the University of Hawaii. "When you start to search for the actual evidence for some of these claims, often it just isn't there."It is easy to see how the tiny, remote island has captured imaginations. Created by three volcanic eruptions and with an area of just 170 square kilometres, Rapa Nui'snearest. ...

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

มันเป็นเรื่องของความโลภ ความโง่ และทำลายตนเองคุ้นเคย หลายร้อยปีที่ชาวเกาะห่างไกลที่สุดในโลก vied กับแต่ละอื่น ๆ จะสร้างรูปปั้นประทับใจมาก ปล้นสะดมทรัพยากรของพวกเขาให้อาหารความหลงใหลของพวกเขา ภัยพิบัติระบบนิเวศน์ก็หนีไม่พ้น เป็นเกาะต้นไม้ถูกโค่น สังคมยุบเข้าน่าสนใจถูกสงคราม ความอดอยาก และดุม กองทัพคู่แข่ง toppled รูปปั้นแต่ละอื่น ๆ อาวุธร้ายแรงดิคลอเรียนปลายหอก งานกุหลาบขึ้นกับผู้ปกครองของพวกเขา การ vanquished ได้ถูกกดขี่ หรือกิน กิจกรรมบนเกาะอีสเตอร์รุ่นนี้ได้กลายเป็นไม่ onlyreceived ภูมิปัญญา แต่คำเตือนเข้มเกี่ยวกับมีชะตากรรมเป็นไปได้สำหรับโลกของเราทั้งหมด "แนวระหว่างเกาะอีสเตอร์และโลกสมัยใหม่ทั้งหมดจะชัดเจน chillingly เขียนของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จาเร็ดในยุบ "แยกของอีสเตอร์ทำให้ตัวอย่างที่ชัดของสังคมที่ทำลายตัวเอง โดย overexploiting ทรัพยากรของตนเอง" นี่คือภาพประกอบสมบูรณ์แบบของความคิดที่ว่า มนุษย์ประกอบด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายตัวเอง แต่จริง หรือ ในความกระตือรือร้นของเราคิดว่าเลวร้ายที่สุดของเราสายพันธุ์ มีเราถูกล่อลวง โดยนิทานปรัมปรา นั่นคือคำถามที่ถูกถามตอนนี้ นักวิจัยชี้การยึดหลักฐานที่ผู้โดยสารก่อนประวัติศาสตร์ของยคู่ ได้ ชาว asuccess ของชีวิตบนเกาะ มีอะไรเพิ่มเติม มันดูเหมือนว่า ทฤษฎีการทำลายตนเองอาจปกปิดความจริงพอใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับอะไรเกิดโคลงเคลงที่ดีที่สุดของสังคมนี้ อย่างน้อย มีหลักฐานทางโบราณคดีน้อยเจ็บปวดสำหรับการเรียกร้องขั้นพื้นฐานที่หนุนทฤษฎีทำลายตนเอง "ของสิ่งที่ได้รับการเขียนเกี่ยวกับเกาะอีสเตอร์เป็นยิ่งกว่าเก็งกำไร กล่าวว่า เทอร์รี่ล่าของมหาวิทยาลัยฮาวาย "เมื่อคุณเริ่มการค้นหาหลักฐานจริงเรียกร้องเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง มักมันก็ไม่มี" มันง่ายที่จะดูว่าเกาะเล็ก ๆ ระยะไกลได้จับจินตนาการ สร้างขึ้น โดยสามภูเขาไฟระเบิด และ มีพื้นที่เพียง 170 ตารางกิโลเมตร ราปา Nui'snearest ...

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

มันเป็นเรื่องที่คุ้นเคยของความโลภความโง่เขลาและทำลายตนเอง สำหรับหลายร้อยปีที่อาศัยอยู่ในหนึ่งในหมู่เกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลกประชันกับแต่ละอื่น ๆ เพื่อสร้างรูปปั้นที่เคยน่าประทับใจมากขึ้นการปล้นสะดมทรัพยากรของพวกเขาที่จะเลี้ยงครอบงำจิตใจของพวกเขา ภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาก็หนีไม่พ้น ในฐานะที่เป็นเกาะที่ต้นไม้ถูกโค่นสุดท้ายสังคมทรุดลงหายนะของสงครามล้างผลาญความอดอยากและกินกัน สมัครพรรคพวกคู่แข่งล้มรูปปั้นของกันและกัน อาวุธที่มีความร้ายแรงหอกปลายแหลม Obsidian แรงงานเพิ่มขึ้นขึ้นกับผู้ปกครอง สิ้นฤทธิ์ถูกกดขี่หรือรุ่นของเหตุการณ์บนเกาะอีสเตอร์ eaten.This ได้กลายเป็นภูมิปัญญาไม่ onlyreceived แต่เตือนมืดเกี่ยวกับชะตากรรมที่เป็นไปได้สำหรับทั้งโลกของเรา. "ความคล้ายคลึงกันระหว่างเกาะอีสเตอร์และโลกสมัยใหม่ทั้งที่เห็นได้ชัด chillingly" เขียน Jared Diamond ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, Los Angeles, ยุบ "การแยกอีสเตอร์ทำให้มันตัวอย่างที่ชัดเจนของสังคมที่ทำลายตัวเองโดย overexploiting ทรัพยากรของตัวเอง." นี่คือภาพที่สมบูรณ์แบบของความคิดที่ว่ามนุษยชาติมีเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างของตัวเอง แต่มันเป็นความจริงหรือในความกระตือรือร้นของเราที่จะคิดว่าเลวร้ายที่สุดของสายพันธุ์ของเรา, เราได้รับการล่อลวงโดยนิทานปรัมปราหรือไม่นั่นคือคำถามที่ถูกถามตอนนี้ นักวิจัยชี้ไปที่หลักฐานที่อยู่อาศัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ของ Rapa Nui, เป็นที่รู้จักกันโดยชาวบ้านที่ทำ asuccess ของชีวิตบนเกาะ มีอะไรมากกว่าที่ดูเหมือนว่าทฤษฎีของการทำลายตนเองอาจปกปิดความจริงแม้แต่น้อยที่พอใจเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดการโค่นล้มที่ดีที่สุดของสังคมนี้ อย่างน้อยที่สุดมีหลักฐานทางโบราณคดีน้อยเจ็บปวดสำหรับการเรียกร้องพื้นฐานที่เป็นรากฐานของทฤษฎีการทำลายตัวเอง "มากของสิ่งที่ได้รับการเขียนเกี่ยวกับเกาะอีสเตอร์จะน้อยกว่าการเก็งกำไร" เทอร์รี่ล่าของมหาวิทยาลัยฮาวายกล่าวว่า "เมื่อคุณเริ่มที่จะค้นหาหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงสำหรับบางส่วนของการเรียกร้องเหล่านี้มักจะเป็นเพียงแค่ไม่ได้มี." มันเป็นเรื่องง่ายที่จะดูว่าเล็ก ๆ เกาะที่ห่างไกลได้จับจินตนาการ ที่สร้างขึ้นโดยสามภูเขาไฟระเบิดและมีพื้นที่เพียง 170 ตารางกิโลเมตร Rapa Nui'snearest ...

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

มันคือเรื่องราวที่คุ้นเคยของความโลภ ความโง่เขลา และการทำลายตนเอง สำหรับหลายร้อยปี ชาวหนึ่งในเกาะที่ห่างไกลจากโลกมากที่สุด vied กับแต่ละอื่น ๆเพื่อสร้างรูปปั้นที่ประทับใจที่เคยปล้นทรัพยากรของพวกเขาฟีดครอบงำจิตใจของพวกเขา ภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาคือหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเกาะสุดท้ายของต้นไม้ถูกโค่น , ล้มลงในความหายนะของสังคมมิคสัญญี ความอดอยาก และกินเนื้อคน ตระกูลคู่แข่งล้มกันเป็นรูปปั้น อาวุธกับ Obsidian มรณะปลายหอก คนงานลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองของพวกเขา การรักษามีทั้ง ทาส หรือ กิน รุ่นของเหตุการณ์บนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ได้กลายเป็นไม่ onlyreceived ปัญญา แต่เข้มเตือนเกี่ยวกับชะตากรรมที่เป็นไปได้สำหรับดาวเคราะห์ทั้งหมดของเรา" แนวระหว่างเกาะอีสเตอร์และโลกสมัยใหม่ทั้งอย่างเยือกเย็น ชัดเจน " เขียนจาเร็ด ไดมอนด์ ของ University of California , Los Angeles , ยุบ " เทศกาลอีสเตอร์ของแยกให้ชัดเจนตัวอย่างของสังคมที่ทำลายตัวเอง โดย overexploiting ทรัพยากรของตนเอง " นี่เป็นภาพประกอบที่สมบูรณ์แบบของความคิดที่ว่ามนุษย์มีเมล็ดแห่งการทำลายตนเอง แต่มันเป็นความจริง หรือ ความอยากได้ของเราที่จะคิดที่เลวร้ายที่สุดของเผ่าพันธุ์ของเรา เราถูกล่อลวงจากตำนาน ? นั่นคือคำถามที่ถูกถาม นักวิจัยชี้หลักฐานการติดตั้งที่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ occupants Rapa Nui , เป็นที่รู้จักกัน โดยชาวบ้านได้ asuccess ของชีวิตบนเกาะ อะไรอีกล่ะ มันเหมือนทฤษฎีของการทำลายตนเองอาจปิดบังแม้แต่น้อยแซบจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นสุดท้าย toppling ของสังคมนี้ อย่างน้อยที่สุด มันเจ็บปวดน้อยโบราณคดีหลักฐานเบื้องต้นอ้างว่า เนื่องจากทฤษฎีการทำลายตนเอง " . มากในสิ่งที่ถูกเขียนเกี่ยวกับเกาะอีสเตอร์มีมากกว่าการเก็งกำไร " ว่า เทอร์รี่ ล่าของมหาวิทยาลัยฮาวาย . เมื่อคุณเริ่มที่จะค้นหาหลักฐานที่แท้จริงบางส่วนของข้อเรียกร้องเหล่านี้มักจะไม่ได้มี . " มันง่ายที่จะเห็นวิธีการเล็ก ๆ เกาะที่ห่างไกลได้จับจินตนาการ . ที่สร้างขึ้นโดยการปะทุของภูเขาไฟ และสามมีพื้นที่แค่ 170 ตารางกิโลเมตร rapa nui"snearest . . . . . . . .