The next advancement occurred durin

The next advancement occurred during World War 1, when the British army needed to produce smokeless gun powder in far larger amounts than importing could handle. In order to produce the smokeless powder, or cordite, acetone was required as a colloidal solvent. To solve the problem, the British army sought the help of Weizmann. Weizmann designed a system to increase acetone production via fermentation, which was later adopted by Great Britain and implemented at the Royal Naval Cordite Factory. Once the U.S. joined the war, a joint project was started between the U.S. and Great Britain to produce acetone in the Midwest United States. The result of the joint project was the opening of two acetone production facilities which were open for less than a year.

After WW1 ended, large stockpiles of butanol had been built up as a byproduct of the acetone production. This stockpile was employed by E.I. du Pont de Nemours & Co. as a solvent for a nitrocellulose lacquer, which was a quick-drying automobile finish. Also, the acetone production facilities, which were employed by the U.S. and Great Britain joint project during the war, were purchased and reopened to produce butanol.

When Weizmann’s patent expired in 1936, a flood of anaerobic fermentation plants were opened. Molasses fermentation processes grew in popularity as new microorganisms were isolated. Every company had its own unique patented microorganism, which was able to produce acetone and butanol in great amounts from the molasses.

The next spike in fermentation utility occurred during WW2, when acetone was again needed for munitions production. Acetone production from molasses was set to the highest sustainable rates and above in some places. Great Britain actually had to import its molasses and the U.S. eventually reverted to corn mash. Other companies involved in acetone production included India, Australia, South Africa, and Japan.

Fermentation processes finally began to experience a decline after the end of WW2 and by the 1960’s, came to a screeching halt in the U.S. This was the time that petrochemical production of solvents became much easier and cheaper and also when farmer interests in molasses caused molasses prices to increase dramatically. The combination of these events made fermentative production of acetone and butanol inefficient and not economical.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ก้าวหน้าต่อไปเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกที่ 1 เมื่อสามารถจัดการกับกองทัพอังกฤษที่จำเป็นในการผลิตปืน smokeless ผงจำนวนใหญ่ไกลกว่านำเข้า เพื่อผลิตผง smokeless หรือ cordite อะซิโตนถูกใช้เป็นตัวทำละลาย colloidal การแก้ไขปัญหา กองทัพอังกฤษขอความช่วยเหลือของ Weizmann Weizmann ออกแบบระบบเพื่อเพิ่มการผลิตอะซีโตนผ่านหมัก ซึ่งนำ โดยสหราชอาณาจักรในภายหลัง และนำมาใช้ในโรงงาน Cordite เรือรอยัล เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม ได้เริ่มโครงการร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในการผลิตอะซีโตนในสหรัฐอเมริกาของเชลซี ผลของโครงการร่วมกันถูกเปิดสองอะซีโตนผลิตสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกเปิดสำหรับน้อยกว่าหนึ่งปีหลังจากสิ้นสุดการ WW1 ได้รับการสร้าง stockpiles ใหญ่ของบิวทานอขึ้นเป็นพลอยได้ของการผลิตอะซีโตน คลังอาวุธนี้ถูกจ้าง โดย E.I. ดูสะพาน de Nemours & Co. เป็นตัวทำละลายสำหรับแลคเกอร์ nitrocellulose ซึ่งรถยนต์เสร็จแห้งอย่างรวดเร็ว ยัง อะซิโตนผลิตอำนวย ซึ่งถูกจ้าง โดยโครงการร่วมสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงคราม ถูกซื้อ และเปิดการผลิตบิวทานอเมื่อสิทธิบัตรของ Weizmann หมดอายุในค.ศ. 1936 น้ำท่วมพืชหมักที่ไม่ใช้ออกซิเจนก็ กระบวนการหมักกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นในความนิยมเป็นจุลินทรีย์ใหม่ถูกแยก ทุกบริษัทของตนเองเฉพาะจดสิทธิบัตรจุลินทรีย์ ซึ่งสามารถผลิตอะซีโตนและบิวทานอจำนวนมากจากกากน้ำตาลที่ ได้แกนถัดไปในโปรแกรมอรรถประโยชน์ของการหมักเกิดขึ้นระหว่าง WW2 เมื่ออะซีโตนเป็นอีกครั้งที่จำเป็นสำหรับระเบิดที่ผลิต อะซีโตนผลิตจากกากน้ำตาลถูกตั้งราคาอย่างยั่งยืนสูงสุด ทางเหนือในบางสถาน สหราชอาณาจักรจริงมีการนำเข้ากากน้ำตาลของมัน และสหรัฐฯ ก็แปลงกลับเป็นข้าวโพดคลุกเคล้า บริษัทอื่น ๆ เกี่ยวข้องในอะซิโตนผลิตรวมอินเดีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และญี่ปุ่นกระบวนการหมักเริ่มสัมผัสลดลงหลังจากสิ้นสุด ของ WW2 และ 1960 มาชะงัก screeching ในสหรัฐอเมริกาในที่สุด นี่คือเวลาที่ผลิตปิโตรเคมีหรือสารทำละลายกลายเป็นง่าย และถูกกว่า และเมื่อชาวนาสนใจในกากน้ำตาลยัง เกิดราคากากน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ชุดของเหตุการณ์เหล่านี้ได้ผลิตอะซีโตนและบิวทานอ fermentative ต่ำ และไม่ประหยัด

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความก้าวหน้าต่อไปเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อกองทัพอังกฤษจำเป็นในการผลิตผงปืนไร้ควันในปริมาณที่มีขนาดใหญ่กว่าการนำเข้าสามารถจัดการ เพื่อผลิตผงไร้ควันหรือดินระเบิดอะซีโตนที่ถูกต้องเป็นตัวทำละลายคอลลอยด์ เพื่อแก้ปัญหาที่กองทัพอังกฤษขอความช่วยเหลือของ Weizmann ออกแบบ Weizmann ระบบเพื่อเพิ่มการผลิตอะซีโตนผ่านการหมักซึ่งถูกนำมาใช้ในภายหลังโดยสหราชอาณาจักรและดำเนินการที่ทหารเรือโรงงานดินระเบิด เมื่อสหรัฐเข้าร่วมสงครามร่วมโครงการเริ่มต้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในการผลิตอะซีโตนในมิดเวสต์ของสหรัฐ ผลจากการร่วมโครงการนี้คือการเปิดตัวของสองสิ่งอำนวยความสะดวกการผลิตอะซีโตนซึ่งเปิดให้บริการสำหรับน้อยกว่าหนึ่งปี. หลังจาก WW1 สิ้นสุดลงสต็อกที่มีขนาดใหญ่ของบิวทานอได้รับการสร้างขึ้นเป็นผลพลอยได้จากการผลิตอะซีโตน คลังสินค้านี้ได้รับการว่าจ้างโดย EI du Pont de Nemours & Co เป็นตัวทำละลายสำหรับเคลือบไนโตรเซลลูโลสซึ่งเป็นผิวรถยนต์แห้งเร็ว นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกการผลิตอะซีโตนซึ่งถูกว่าจ้างโดยสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรโครงการร่วมระหว่างสงครามกำลังซื้อและเปิดการผลิตบิวทานอ. เมื่อ Weizmann สิทธิบัตรหมดอายุในปี 1936 น้ำท่วมของพืชหมักแบบไร้อากาศเปิด กระบวนการหมักกากน้ำตาลเพิ่มขึ้นในความนิยมเป็นจุลินทรีย์ที่แยกได้ใหม่ ทุก บริษัท มีการจดสิทธิบัตรจุลชีพเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งก็สามารถที่จะผลิตอะซีโตนและบิวทานอในปริมาณที่ดีจากกากน้ำตาล. เข็มในยูทิลิตี้การหมักเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่ออะซีโตนที่ถูกต้องอีกครั้งสำหรับการผลิตอาวุธ ผลิตจากกากน้ำตาล Acetone ถูกกำหนดให้อัตราสูงสุดและยั่งยืนดังกล่าวข้างต้นในบางสถานที่ สหราชอาณาจักรจริงมีที่จะนำเข้ากากน้ำตาลและสหรัฐอเมริกาในที่สุดก็หวนกลับไปบดข้าวโพด บริษัท อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลิตอะซีโตนรวมอินเดีย, ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, และญี่ปุ่น. กระบวนการหมักในที่สุดก็เริ่มที่จะได้สัมผัสกับการลดลงหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี 1960 ก็จะหยุดร้องเสียงกรี๊ดในสหรัฐอเมริกานี้เป็นช่วงเวลาที่การผลิตปิโตรเคมี ตัวทำละลายกลายเป็นเรื่องง่ายและราคาถูกกว่าและเมื่อผลประโยชน์ของเกษตรกรในราคากากน้ำตาลกากน้ำตาลที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การรวมกันของเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้การผลิตของหมักอะซิโตนและบิวทานอไม่มีประสิทธิภาพและไม่ประหยัด