DISCUSSIONThis study was the first

DISCUSSION
This study was the first to analyze the role of both
individual and class moral disengagement in bullying
among elementary-school children with a multilevel
design. In keeping with the view that bullying is a
group process, we measured bullying behavior as well
as the accompanying behaviors that support and encourage
bullying within a group of classmates. Lastly,
contrary to previous studies, we analyzed the four sets
of disengagement mechanisms proposed by Bandura,
separately.
At the individual level, consistent with the extant
literature, a positive association between moral disengagement
and bullying emerged.First, zero-order correlations
showed that the four sets of disengagement
mechanisms positively correlated with each other and
(with exception of disregarding/distorting the consequences)
with individual pro-bullying behavior. Interestingly,
partially consistent with our hypotheses and
with Pornari and Wood [2010], the current data revealed
that, taking into account the other predictors
in the model, only one category of self-justification
mechanisms had a statistically significant association
with individual pro-bullying behavior: individual
pro-bullying behavior was more likely in those children
who were more prone to cognitively restructure
their harmful behavior. As stated earlier, Bandura
[1990] claimed that cognitive restructuring of negative
actions is the most effective set of psychological
mechanisms for disengaging individual moral control.
Moreover, “a person who sees an injurious act as the
means to fulfill a higher moral or social goal, apart
from being more likely to engage in this behavior, is
also likely to experience positive feelings for doing so
(e.g., pride, self-approval) which, in turn, further facilitates
harmful behavior” [Pornari andWood, 2010,
p. 90]. Therefore, this might be a particularly perverse
set of mechanisms when it comes to bullying, since
this particular form of aggressive behavior consists of
an unprovoked and instrumental aversive means of
influencing or coercing other persons to reach personal
goals [Sijtsema et al., 2009]. Through cognitive
restructuring, children can habituate to these behaviors
thus viewing bullying as acceptable behavior
and a means to gain high status in the peer group or

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สนทนาการศึกษานี้เป็นคนแรกวิเคราะห์บทบาทของทั้งสองแต่ละ และคลา disengagement คุณธรรมใน bullyingในโรงเรียนประถมศึกษาเด็กมีหลายระดับการออกแบบ เพื่อมุมมองที่ bullying มีกระบวนการกลุ่ม เราวัด bullying พฤติกรรมเช่นเป็นลักษณะการทำงานมา ที่สนับสนุน และส่งเสริมให้bullying ภายในกลุ่มของเพื่อนร่วมชั้น สุดท้ายขัดกับการศึกษาก่อนหน้านี้ เราวิเคราะห์ชุด 4กลไก disengagement ซึ่งเสนอ โดย Banduraแยกต่างหากระดับละ สอดคล้องกับยังวรรณกรรม ความสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่าง disengagement คุณธรรมและ bullying เกิดความสัมพันธ์แรก สั่งศูนย์พบว่าชุดสี่ของ disengagementกลไกบวก correlated กัน และ(มีข้อยกเว้นของ น่าเคารพ/distorting ผล)มีโปร bullying พฤติกรรม เป็นเรื่องน่าสนใจบางส่วนสอดคล้องกับสมมุติฐานของเรา และกับ Pornari และไม้ [2010], การเปิดเผยข้อมูลปัจจุบันที่ คำนึงถึง predictors อื่น ๆในรูปแบบ ประเภทหนึ่งของเหตุผลของตนเองกลไกมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมีพฤติกรรม bullying โป: แต่ละbullying โปยิ่งในเด็กเหล่านั้นมีคนวัย cognitively โครงพฤติกรรมของพวกเขาเป็นอันตราย ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ Bandura[1990] อ้างปรับโครงสร้างการรับรู้ของค่าลบการดำเนินการเป็นชุดมีประสิทธิภาพสูงสุดของจิตใจกลไกการควบคุมคุณธรรม disengagingนอกจากนี้, "คนที่เห็นการกระทำเปลืองเป็นหมายถึง การตอบสนองสูงคุณธรรม หรือสังคมเป้าหมาย อพาร์ทจากการมีแนวโน้มในลักษณะนี้ยังอาจพบความรู้สึกในเชิงบวกสำหรับการทำเช่นนั้น(เช่น ภูมิใจ อนุมัติตนเอง) ซึ่ง จะ เพิ่มเติมอำนวยความสะดวกพฤติกรรมอันตราย" [Pornari andWood, 2010พี 90] ดังนั้น นี้อาจ perverse เป็นอย่างยิ่งชุดกลไกเมื่อมันมาถึง bullying ตั้งแต่แบบฟอร์มนี้เฉพาะของลักษณะการทำงานเชิงรุกประกอบด้วยการ unprovoked และบรรเลง aversive พาหนะมีอิทธิพลต่อหรือบุคคลอื่นใดถึงบุคคลเป้าหมาย [Sijtsema et al., 2009] ผ่านการรับรู้ปรับโครงสร้าง เด็กสามารถ habituate กับพฤติกรรมเหล่านี้ดังนั้น การดู bullying เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับและวิธีการได้รับสถานะสูงในกลุ่มเพื่อน หรือ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

อภิปราย
การศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการวิเคราะห์บทบาทของทั้งสอง
หลุดพ้นระดับของบุคคลและศีลธรรมในการข่มขู่
ในหมู่เด็กประถมโรงเรียนที่มีหลายระดับ
การออกแบบ ในการรักษาด้วยมุมมองที่ข่มขู่เป็น
กระบวนการกลุ่มเราวัดพฤติกรรมข่มขู่เช่นเดียว
กับพฤติกรรมการประกอบที่สนับสนุนและส่งเสริม
การกลั่นแกล้งในกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น สุดท้าย
ตรงกันข้ามกับการศึกษาก่อนหน้าเราวิเคราะห์สี่ชุด
ของกลไกการหลุดพ้นที่เสนอโดย Bandura,
แยก.
ในระดับบุคคลให้สอดคล้องกับที่ยังหลงเหลืออยู่
วรรณกรรมสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างหลุดพ้นทางศีลธรรม
และข่มขู่ emerged.First สัมพันธ์ศูนย์เพื่อ
แสดงให้เห็นว่า สี่ชุดหลุดพ้น
กลไกความสัมพันธ์เชิงบวกกับแต่ละอื่น ๆ และ
(ยกเว้นไม่คำนึง / บิดเบือนผลกระทบ)
ที่มีพฤติกรรมโปรกลั่นแกล้งบุคคล ที่น่าสนใจ
บางส่วนสอดคล้องกับสมมติฐานของเราและ
มี Pornari ไม้ [2010] ข้อมูลปัจจุบันพบ
ว่าโดยคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ
ในรูปแบบที่มีเพียงหนึ่งประเภทของตัวเองเหตุผล
กลไกการมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่มีการข่มขู่โปรบุคคล พฤติกรรม: บุคคล
พฤติกรรมโปรกลั่นแกล้งก็มีโอกาสมากขึ้นในเด็กเหล่านั้น
ที่มีแนวโน้มที่จะปรับโครงสร้าง cognitively
พฤติกรรมที่เป็นอันตรายของพวกเขา ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ Bandura
[1990] อ้างว่าการปรับโครงสร้างขององค์ความรู้เชิงลบ
การกระทำที่เป็นชุดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของจิตใจ
กลไกในการปล่อยการควบคุมทางศีลธรรมของแต่ละบุคคล.
นอกจากนี้ "คนที่เห็นการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายเป็น
วิธีการที่จะตอบสนองเป้าหมายทางศีลธรรมหรือสังคมที่สูงขึ้น นอกเหนือ
จากการมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมนี้
ยังมีแนวโน้มที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกในเชิงบวกสำหรับการทำเช่นนั้น
(เช่นความภาคภูมิใจในตัวเองได้รับการอนุมัติ) ซึ่งในทางกลับกันต่อไปอำนวยความสะดวกใน
การทำงานที่เป็นอันตราย "[Pornari andWood, 2010,
p- 90] ดังนั้นนี้อาจจะผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ชุดของกลไกเมื่อมันมาถึงการข่มขู่เนื่องจาก
รูปแบบนี้โดยเฉพาะของพฤติกรรมก้าวร้าวประกอบด้วย
วิธีการ aversive ไม่มีเหตุผลและประโยชน์ของการ
มีอิทธิพลต่อการบีบบังคับหรือบุคคลอื่นที่จะไปถึงส่วนบุคคล
เป้าหมาย [Sijtsema et al., 2009] . ผ่านการเรียนรู้
การปรับโครงสร้างเด็กสามารถทำให้เกิดความเคยชินกับพฤติกรรมเหล่านี้
ดูข่มขู่จึงเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้
และวิธีการที่จะได้รับสถานะสูงในกลุ่มเพื่อนหรือ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การอภิปราย
การศึกษานี้เป็นครั้งแรกเพื่อวิเคราะห์บทบาทของทั้งบุคคล และระดับจริยธรรม เป็นแบบอย่าง

ในการกลั่นแกล้งของเด็กระดับประถมศึกษา ด้วยการออกแบบหลาย

ในการรักษาด้วยมุมมองที่กลั่นแกล้งเป็น
กระบวนการกลุ่มที่เราวัดพฤติกรรมการกลั่นแกล้งอีกด้วย
เป็นประกอบพฤติกรรมที่สนับสนุนส่งเสริม
กลั่นแกล้งภายในกลุ่มของเพื่อนร่วมชั้น สุดท้าย
ต่อการศึกษาก่อนหน้านี้ เราวิเคราะห์สี่ชุดของกลไกที่เป็นอิสระที่เสนอโดย Bandura
,

แยกต่างหาก ในระดับบุคคล สอดคล้องกับวรรณกรรมเท่าที่มีอยู่

สมาคมบวกระหว่างผู้นำคุณธรรมและการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น ครั้งแรก ศูนย์เพื่อการศึกษา
พบว่าสี่ชุดของความเป็นอิสระ
กลไกความสัมพันธ์เชิงบวกกับแต่ละ
และอื่น ๆ( ยกเว้นเรื่อง / บิดเบือนผล )
กับบุคคล Pro กลั่นแกล้งพฤติกรรม น่าสนใจ สอดคล้องกับสมมติฐานของเราและบางส่วน

กับ pornari และไม้ [ 2010 ] , ข้อมูลปัจจุบันพบ
ที่คำนึงถึงตัวแปรอื่น
ในรูปแบบเฉพาะประเภทหนึ่งของกลไกเหตุผล

สมาคมด้วยตนเอง ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับแต่ละโปรกลั่นแกล้งพฤติกรรมพฤติกรรมการกลั่นแกล้งบุคคล
Pro มากกว่าในเด็กเหล่านั้น
ที่ มีแนวโน้มที่จะ การประมวลผลปรับโครงสร้าง
อันตรายพฤติกรรมของพวกเขา ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ แบนดูรา
[ 1990 ] อ้างว่าการปรับโครงสร้างทางปัญญาของการกระทำเชิงลบ
เป็นที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชุดกลไกทางจิตวิทยาที่กำลังปล่อยยานควบคุมจริยธรรม

ส่วนบุคคล" คนที่เห็นการกระทำเปลืองเป็น
หมายถึงการตอบสนองเป้าหมายที่สูงขึ้นศีลธรรมหรือสังคม นอกเหนือจาก
จากการมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมนี้ คือ
ยังมีโอกาสสัมผัสความรู้สึกที่เป็นบวกสำหรับการทำเช่นนั้น
( เช่น ความภูมิใจ อนุมัติด้วยตนเอง ) ซึ่งในการเปิดเพิ่มเติมใน
ที่เป็นอันตรายพฤติกรรม " [ pornari andwood , 2010 ,
p 90 ] ดังนั้น จึงอาจจะขี้อ้อน
โดยเฉพาะชุดกลไก เมื่อมันมาเพื่อแกล้ง เนื่องจาก
แบบฟอร์มนี้เฉพาะของพฤติกรรมก้าวร้าวแบบไม่มีเหตุผล และบรรเลงประกอบไปด้วย

aversive หมายถึงอิทธิพล หรือบังคับบุคคลอื่น ไปถึงเป้าหมายส่วนตัว
[ sijtsema et al . , 2009 ] ผ่านการปรับโครงสร้างทางปัญญา
, เด็กสามารถทำให้คุ้นชินกับพฤติกรรมเหล่านี้จึงดูเป็น

แกล้งพฤติกรรมที่ยอมรับได้และวิธีการที่จะได้รับสถานะสูงในกลุ่มเพื่อน หรือ