During the Great Depression, there

During the Great Depression, there was a surplus of molasses and the need to provide easily made food to millions of economically depressed people in the US.[7] One company patented a cake-bread mix in order to deal with this economic situation, and thereby established the first line of cake in a box. In so doing, cake as it is known today became a mass-produced good rather than a home- or bakery-made specialty.

Later, during the post-war boom, other American companies (notably General Mills) developed this idea further, marketing cake mix on the principle of convenience, especially to housewives. When sales dropped heavily in the 1950s, marketers discovered that the cake in a box rendered the cake-making function of housewives relatively dispiriting. This was a time when women, retired from the war-time labor force, and in a critical ideological period in American history, were confined to the domestic sphere and oriented towards the freshly blossoming consumerism in the US.[8] In order to compensate for this situation, the marketing psychologist Ernest Dichter ushered in the solution to the cake mix problem: frosting.[9] Deprived of the creativity involved in making their own cake, within consumerist culture[clarification needed], housewives and other in-home cake makers could compensate by cake decoration inspired by, among other things, photographs in magazines of elaborately decorated cakes.

Ever since, cake in a box has become a staple of supermarkets, and is complemented with frosting in a can.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในช่วงภาวะซึมเศร้าที่ดี มีส่วนเกินของกากน้ำตาล และต้องให้ได้อย่างง่ายดายทำอาหารความหดหู่ทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา [7] หนึ่งบริษัทจดสิทธิบัตรส่วนผสมขนมปังเค้กเพื่อจัดการกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจนี้ แล้วจึงก่อตั้งบรรทัดแรกของเค้กในกล่อง ทำ เค้กมันเป็นที่รู้จักในวันนี้กลายเป็น มวลผลิตที่ดีกว่าพิเศษที่ทำบ้าน หรือเบเกอรี่ในภายหลัง ในช่วงบูมหลังสงคราม บริษัทอเมริกัน (โดยเฉพาะโรงงานทั่วไป) ได้พัฒนาความคิดนี้ต่อไป ตลาดเค็กบนหลักของความสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่บ้าน เมื่อขายลดลงอย่างมากในปี 1950 นักการตลาดพบว่า เค้กในกล่องแสดงฟังก์ชันการทำเค้กของแม่บ้านค่อนข้าง dispiriting นี้คือครั้งเมื่อผู้หญิง ออกแรงเวลาสงคราม และ ในช่วงอุดมการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถูกคุมขังในประเทศทรง และหันไปทางบริโภคนิยมบานสดในสหรัฐอเมริกา [8] เพื่อชดเชยสำหรับสถานการณ์นี้ จิตวิทยาการตลาด Ernest Dichter ushered ในวิธีการแก้ปัญหาการผสมเค้ก: เปลือกน้ำฅาล [9] ขาดความคิดสร้างสรรค์ในการทำเค้กของตนเอง ในวัฒนธรรม consumerist [ชี้แจงจำเป็น], แม่บ้านและเค้กอื่น ๆ ภายในบ้านเครื่องชงสามารถชดเชย โดยแรงบันดาลใจ ในหมู่สิ่งอื่น ๆ ถ่ายภาพในนิตยสารของภัตตาคารตกแต่งเค้กตกแต่งเค้กตั้งแต่ เค้กในกล่องกลาย เป็นแก่นของซูเปอร์มาร์เก็ต และกับกะทิในกระป๋อง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ระหว่างตกต่ำมีส่วนเกินของกากน้ำตาลและความจำเป็นที่จะให้อาหารที่ทำง่ายของคนนับล้านเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐอเมริกาได้. [7] หนึ่งใน บริษัท ที่จดสิทธิบัตรผสมขนมปังเค้กเพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและ จึงเป็นที่ยอมรับในบรรทัดแรกของเค้กในกล่อง ดังนั้นในการทำเค้กเป็นที่รู้จักกันในวันนี้กลายเป็นมวลผลิตที่ดีมากกว่าที่จะเป็นที่บ้านหรือเบเกอรี่ทำพิเศษ. ต่อมาในช่วงบูมหลังสงคราม บริษัท อเมริกันอื่น ๆ (โดยเฉพาะโรงสีทั่วไป) พัฒนาความคิดต่อไปนี้การตลาด ผสมเค้กบนหลักการของความสะดวกสบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่บ้าน เมื่อยอดขายลดลงอย่างมากในปี 1950, นักการตลาดพบว่าเค้กในกล่องกลายฟังก์ชั่นการทำเค้กแม่บ้านค่อนข้าง dispiriting นี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงออกมาจากสงครามเวลาแรงงานและในระยะเวลาอุดมการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกันที่ถูกคุมขังในวงในประเทศและมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองผู้บริโภคบานสดในสหรัฐอเมริกา. [8] เพื่อที่จะชดเชย สำหรับสถานการณ์นี้นักจิตวิทยาตลาดเออร์เนส Dichter ushered ในวิธีการแก้ปัญหาผสมเค้ก:. น้ำตาล [9] ปราศจากความคิดสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องในการทำเค้กของตัวเองที่อยู่ในวัฒนธรรมบริโภค [ชี้แจงจำเป็น] แม่บ้านและอื่น ๆ เค้กในบ้าน ผู้ผลิตสามารถชดเชยด้วยการตกแต่งเค้กแรงบันดาลใจจากหมู่สิ่งอื่น ๆ , การถ่ายภาพในนิตยสารเค้กตกแต่งอย่างประณีต. นับตั้งแต่เค้กในกล่องที่ได้กลายเป็นหลักของซูเปอร์มาร์เก็ตและครบครันด้วยน้ำตาลในความสามารถ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เข้าสู่ระบบ icaly conjectured ความสัมพันธ์ระหว่างสองหรือมากกว่าสองตัวแปรที่แสดงในรูปข้อความทดสอบได้ . ตามกรอบข้างต้น เสนอสมมุติฐานในการศึกษานี้คือ ความผูกพันต่อองค์การที่มีผลต่อคุณภาพของระบบสารสนเทศทางการบัญชี