Although known for its importance i

Although known for its importance in the coagulation cascade, vitamin K has other functions. It is an essential vitamin for bone health, taking part in the carboxylation of many bone-related proteins, regulating genetic transcription of osteoblastic markers, and regulating bone reabsorption. Vitamin K deficiency is not uncommon, as deposits are scarce and dependent upon dietary supplementation and absorption. Vitamin K antagonist oral anticoagulants, which are prescribed to many patients, also induce vitamin K deficiency. Most studies find that low serum K1 concentrations, high levels of undercarboxylated osteocalcin (ucOC), and low dietary intake of both K1 and K2 are associated with a higher risk of fracture and lower BMD. Studies exploring the relationship between vitamin K supplementation and fracture risk also find that the risk of fracture is reduced with supplements, but high quality studies designed to evaluate fracture as its primary endpoint are needed. The reduction in risk of fracture with the use of non-vitamin K antagonist oral anticoagulants instead of warfarin is also of interest although once again, the available evidence offers disparate results. The scarce and limited evidence, including low quality studies reaching disparate conclusions, makes it impossible to extract solid conclusions on this topic, especially concerning the use of vitamin K supplements.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แม้ว่าจะทราบถึงความสำคัญในการแข็งตัวของเลือด แต่วิตามินเคยังมีหน้าที่อื่นๆ อีกด้วย เป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูก มีส่วนร่วมในการคาร์บอกซิเลชันของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระดูกหลายชนิด ควบคุมการถอดรหัสทางพันธุกรรมของเครื่องหมายเกี่ยวกับกระดูก และควบคุมการดูดซึมกลับของกระดูก การขาดวิตามินเคไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากมีคราบสะสมที่หายากและขึ้นอยู่กับการเสริมอาหารและการดูดซึม ยาต้านการแข็งตัวของเลือดในช่องปากของวิตามินเคซึ่งจ่ายให้กับผู้ป่วยจำนวนมากยังกระตุ้นให้เกิดการขาดวิตามินเคอีกด้วย การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าความเข้มข้นของ K1 ในซีรั่มต่ำ ระดับของ undercarboxylated Osteocalcin (ucOC) ในระดับสูง และการรับประทานอาหารที่ต่ำของทั้ง K1 และ K2 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการแตกหักและ BMD ที่ลดลง การศึกษาที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมวิตามินเคกับความเสี่ยงกระดูกหักยังพบว่าความเสี่ยงของกระดูกหักลดลงด้วยอาหารเสริม แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อประเมินกระดูกหักเป็นจุดสิ้นสุดหลัก การลดความเสี่ยงของการแตกหักด้วยการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ใช่วิตามิน K แทนวาร์ฟารินก็น่าสนใจเช่นกัน แม้ว่าหลักฐานที่มีอยู่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอีกครั้งก็ตาม หลักฐานที่หายากและจำกัด รวมถึงการศึกษาคุณภาพต่ำซึ่งมีข้อสรุปที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถสรุปข้อสรุปที่ชัดเจนในหัวข้อนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาหารเสริมวิตามินเค

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แม้จะมีความจริงที่ว่าวิตามินเคมีชื่อเสียงในด้านความสำคัญในการแข็งตัวของน้ำตก แต่ก็มีหน้าที่อื่น ๆ มันเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพของกระดูกที่เกี่ยวข้องกับการคาร์บอกซิลิกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระดูกจำนวนมากควบคุมการถอดรหัสยีนของเครื่องหมาย osteoblast และควบคุมการดูดซึมของกระดูก การขาดวิตามินเคไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตะกอนน้อยขึ้นอยู่กับการเสริมอาหารและการดูดซึม วิตามินเค anticoagulants รับประทานโดยผู้ป่วยจำนวนมากอาจทำให้เกิดการขาดวิตามินเค การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าความเข้มข้นของ K1 ในซีรั่มต่ำระดับสูงของ osteocalcin carboxylate ต่ำ (ucOC) และ K1 และ K2 ที่บริโภคในอาหารต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงของการแตกหักและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ การศึกษาที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างอาหารเสริมวิตามินเคและความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักยังพบว่าอาหารเสริมวิตามินเคสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักได้ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยที่มีคุณภาพสูงเพื่อประเมินการแตกหักเป็นจุดสิ้นสุดหลัก การลดความเสี่ยง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันดีถึงความสําคัญของวิตามินkในการแข็งตัวของเลือดแต่ก็มีหน้าที่อื่นๆ เป็นวิตามินที่จําเป็นสําหรับสุขภาพของกระดูกมีส่วนร่วมในการไฮดรอกซีของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระดูกหลายชนิดควบคุมการถอดรหัสยีนของเครื่องหมายosteoblastและควบคุมการดูดซึมของกระดูก การขาดวิตามินkไม่ใช่เรื่องผิดปกติเนื่องจากวิตามินkมีการสะสมน้อยและขึ้นอยู่กับการเสริมและการดูดซึมอาหาร ยาต้านการแข็งตัวของเลือดในช่องปากที่ผู้ป่วยจํานวนมากใช้ยังทําให้เกิดการขาดวิตามินk การศึกษาส่วนใหญ่พบว่าความเข้มข้นของซีรั่มk 1ต่ําระดับucOCสูงและการบริโภคอาหารk 1และk 2ต่ํามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการแตกหักและลดBMD การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมวิตามินkกับความเสี่ยงต่อการแตกหักยังพบว่าการเสริมวิตามินkช่วยลดความเสี่ยงต่อการแตกหักแต่จําเป็นต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงเพื่อประเมินการแตกหักเป็นจุดสิ้นสุดหลัก นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่จะลดความเสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกโดยใช้ยาต้านการแข็งตัวในช่องปากที่ไม่ใช่วิตามินk antagonistsแทนwarfarinแม้ว่าหลักฐานที่มีอยู่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอีกครั้ง การขาดหลักฐานและข้อจํากัดรวมถึงการศึกษาที่มีคุณภาพต่ําที่นําไปสู่ข้อสรุปที่แตกต่างกันทําให้ไม่สามารถสรุปข้อสรุปที่เชื่อถือได้ในเรื่องนี้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้วิตามินkเสริม