แหล่งเรียนรู้กลุ่มบ้านหนองอารี อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
ฐานที่ 1 การทอผ้าไหม
อันดับแรกต้องขอบอกก่อนเลยว่า ผ้าไหมขอหมูบ้านนี้ เป็น ผ้าไหมระดับ 5 ดาว ที่ส่งออกให้กับต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่น ซึ่งก็จะมีหลาย ลาย ให้เลือกซื้อ เลือกชม เช่น ลายยกดอก
การมัดหมี่ เป็นกรรมวิธีที่สำคัญที่สุดที่จะทำผ้าไหมให้เป็นลายและสีสันต่าง ๆ ในการมัดหมี่ให้เป็นลายและสีต่าง ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีและความนิยมของผู้ใช้เป็นสำคัญ เพราะลายและสีของผ้าไหมมีมากมายเหลือเกิน เช่น ถ้าต้องการผ้าไหมมีลายเล็ก ๆ เต็มผืนและหลาย ๆ สี ต้องใช้ผู้ที่มีฝีมือปราณีตในการมัดหมี่ ขณะเดียวกันค่าแรงงานในการจ้างมัดหมี่ก็แพงขึ้นด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการมัดหมี่ คือ มีดบางเล็ก ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม เชือก ฟาง (สมัยก่อนใช้กาบกล้วยแห้ง) "ฮงหมี่" และ "แบบลายหมี่" การมัดลายเต็มตัว (เต็มผืน) ผู้มัดจะต้องมัดลายตามแบบลายหมี่ให้เต็ม
การแก้หมี่ คือกรรมวิธีแก้เชือกฟางที่ใช้มัดลำหมี่แต่ละลำออกให้หมดโดยใช้มีดบางเล็ก ๆ หรือใบมีดโกนชนิดมีด้าม การแก้หมี่จะต้องทำอย่างระมัดระวังอย่าให้มีดถูกเส้นไหมขาด หมที่แก้เชือกฟางออกหมดแล้ว จะเห็นลายหมี่ได้สวยงามและชัดเจนมาก
ฐานที่ 2 วิถีสาวไหม
ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงตัวไหม ตั้งแต่ ยังเป็นตัวอ่อน จนโตขึ้นเรื่อยๆ ตัวหม่อนจะกิน ใบ หม่อนเป็นอาหาร และเมื่อ ตัวไหม สุก เราก็จะนำตัวไหม ไปใส่ไว้กับจ่อ เพื่อให้มันก่อรังไหมขึ้นมา สิ่งที่ควรระวังในการเลี้ยงไหม คือ การห้ามให้แมลงวัน มาไข่ใส่ตัวหนอนเด็ดขาด เมื่อได้เป็นรังไหมแล้ว เราก็จะนำไปสู่ ใน ขั้นตอนการสาวหลอก ต่อไป
การสาวหลอก คือกรรมวิถีสาว (ดึง) เอาไยไหมออกมาจากฝักหลอก (ฝักไหม) มาเป็นเส้นไหม โดยนำเอาฝักหลอก (ฝักไหม) ต้มใส่หม้อดินขนาดใหญ่ มีเครื่องมือคีบดึงเส้นไหมออกมาเป็นเส้นยาวติดต่อกันเป็นเส้นเดียวกันตลอดจนหมดทุกฝัก เมื่อดึงเอาเส้นไหมออกมาจนหมดทุกฝักแล้วจะเหลือแต่ตัวไหม (ตัวหนอน) ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ดักแด้" เป็นอาหารที่ให้โปรตีนและอร่อยมาก เป็นของโปรดของชาวอีสาน ไหมที่ได้จากการสาวหลอกนี้เป็นไหมเส้นแข็ง เรียกกันว่า ไหมดิบ
การเหล่งไหม ไหมที่สาว (ดึง) ออกมาจากฝักหลอกนั้น จะยาวติดต่อเป็นเส้นเดียวกันตลอด ชาวบ้านจะนำเส้นไหมดิบมาเหล่งไหม (คล้ายกรอไหม) เพื่อทำเส้นไหมให้เป็นปอยไหม ไหมแต่ละปอยที่เหล่งได้นั้นจะใช้ไหมหนักประมาณ 2 - 3 ขี
การด่องไหม คือกรรมวิธีนำปอยไหมที่ได้มาจากการเหล่งไหม มาต้มในน้ำเดือดโดยเติมผงด่าง เพื่อทำให้เส้นไหมอ่อนตัวลง หลังจากต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 - 10 นาที
ฐานที่ 3 ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน หนองอารี
บ้านลาวเดิม เดิมชาวบ้านอพยพมาจากเวียงจันทร์ แล้วมาก่อตั้งหมู่บ้านชื่อบ้านลาวเดิมแต่ก่อนขึ้นกับ อำเภอ ขุขันธ์ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2497 จึงได้ตั้งชื่อใหม่ ชื่อว่าบ้านหนองอารี เพราะหมู่บ้านมีหนองน้ำที่มีขนาดใหญ่เป็นแหล่งน้้าที่อุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงชาวบ้านมาตลอด ถือได้ว่าหนองน้ำแห่งนี้มีความผูกพันกับชาวบ้านมา
นาน ต่อมา เมื่อ ปี พ.ศ. 2526 ได้มีการแยกหมู่บ้านเพื่อความสะดวกในการปกครอง ออกเป็นบ้านลาวเดิม และพ.ศ. 2536 ได้แยกหมู่บ้านใหม่อีก โดยตั้งชื่อว่า บ้านหนองสิม ในปัจจุบัน
อัตลักษณ์ ของชุมชน บ้านหนองสิม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม คือการท้านา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ปลูกพริก ค้าขาย ทอผ้าไหม อาชีพเสริมก็คือการรับจ้างทั่วไป รายได้ของประชากรส่วนใหญ่ คือการท้านา รายได้รอง คือ เลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ไก่ เป็ด เลี้ยงปลา รองลงมา คือปลูกพริก และปลูกพืชต่างๆ ตามความถนัด