กระทรวงกรมของตนก็จะตัดสินความเข้าข้างจำเลยนั้น ๆ จึงทำให้ยากที่จะวางใจในการให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน การศาลไทยในระยะก่อนการปฎิรูปปั่นป่วนมาก แม้จะมีความพยายามแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะให้ศาลต่าง ๆ ที่มีอยู่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปและเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีรวดเร็วก็ตามแต่การแก้ปัญหาดังกล่าวบางครั้งกลับสร้างความยากลำบากมากขึ้นกว่าเดิม จึงอาจกล่าวได้ว่าปัญหาการศาลไทยในขณะนั้นใหญ่หลวงเกินกว่าที่จะเยียวยาแก้ไขได้ นอกจากต้องใช้วิธีปฏิรูปการศาลใหม่หมดทั้งระบบ
๒.๒.๒ ความไม่เหมาะสมของวิธีชำระความของศาลตามแบบเดิม อันได้แก่
ก. ความไม่เหมาะสมของทฤษฎีการลงโทษ ซึ่งเป็นไปในแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งมีผลทำให้การลงโทษในคดีอาชญาและนครบาลเป็นไปในลักษณะรุนแรงเกินสมควร
ข. ความไม่เหมาะสมของแนวการนำสืบพยาน แต่เดิมการดำเนินคดีในศาลไทยใช้ระบบไต่สวน ตามกฎหมายเก่าถือว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเป็นกรรมในคดี กล่าวคือเป็นวัตถุแห่งการซักฟอก มีสภาพไม่ต่างอะไรกับวัตถุชิ้นหนึ่ง เพราะผู้ถูกกล่าวหาแทบจะไม่มีสิทธิใด ๆ ศาลสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
ค. ความไม่เหมาะสมของระบบจารีตนครบาล การไต่สวนซักฟอกเพื่อให้จำเลยในคดีนครบาลรับสารภาพตามระบบจารีตนครบาล เช่น เฆี่ยน ตอกเล็บ เป็นต้น ศาลไทยสมัยก่อนการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลได้ถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นปกติธรรมดาทั้งที่เป็นระบบที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่จำเลยเป็นอย่างยิ่ง การที่เป็นเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้ชาวต่างประเทศสมัยนั้นใช้โจมตีระบบการศาลไทย และไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจศาลไทย