ภาษาอังกฤษธุรกิจกับภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันแตกต่างกันอย่างไร
เมื่อภาษาอังกฤษเป็นตัวเลือก ภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในธุรกิจแบบต่างๆ ทั่วโลก องค์กรหลายแห่ง คาดหวังว่า บุคลกรของพวกเขา จะสามารถพูด และเขียนภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการทำงาน
โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีทันสมัย และการสื่อสารนานาชาติมีบทบาทเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่มีการนำภาษาอังกฤษมาใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารนานาชาติ ผู้ที่ทำงานด้านธุรกิจต่างก็ต้องเขียนจดหมายภาษาอังกฤษเพื่อติดต่อกับลูกค้า บริษัท และตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ การสื่อสารด้านธุรกิจที่ไม่ชำนาญ และไม่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการติดต่อค้าขายทางธุรกิจ รวมทั้งอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรได้ด้วย ฉะนั้นจำนวนของ
ผู้ที่ทำงานด้านธุรกิจ ตลอดจนนายจ้างที่ต้องการหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆความสำคัญของการสื่อสารในภาคธุรกิจของประเทศไทยมีรากฐานมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร จึงมุ่งเน้นข้อมูลใน 2 ด้านหลัก คือ การสำรวจความต้องการของผู้เรียน ภูมิหลังทางทฤษฎีด้านการสื่อสารธุรกิจ ความสำคัญของการสื่อสารธุรกิจสำหรับผู้ที่กำลังมองหางาน และ งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ศึกษาในด้านทักษะการสื่อสารธุรกิจนานาชาติ
การสำรวจความต้องการของผู้เรียนเป็นขั้นตอนแรกในการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร และในการเลือกวัสดุการเรียนการสอนรวมไปถึงวิธีการสอนด้วย การสำรวจความต้องการของผู้เรียนคือกระบวนการหาข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการ ศัพท์เทคนิคต่างๆ และแนวคิดของการสำรวจความต้องการนั้นแตกต่างกันไปตามนักวิจัยแต่ละคน Dudley-Evans และ St. John (1998) ให้คำนิยามการสำรวจความต้องการว่าคือกระบวนการที่กระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่จะตอบ คำถามได้ว่าอะไร และอย่างไร Hutchinson และ Waters (1987) ให้คำนิยามการสำรวจความต้องการด้วยคำว่า ความต้องการของสถานการณ์เป้าหมาย ซึ่งจะระบุเกี่ยวกับการใช้ภาษา และ ความต้องการในแง่ของการเรียนรู้ ซึ่งจะกล่าวถึงการเรียนรู้การใช้ภาษา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงเรื่องมุมมองย่อยของความต้องการในแง่ของ ความจำเป็น (needs) ความบกพร่อง (lacks) และความปรารถนา (desire) อีกด้วย ความจำเป็นที่กล่าวถึงนี้คือ สิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์เป้าหมาย ความบกพร่อง คือ ข้อมูลที่ผู้วิจัย หรือผู้สอนจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับความรู้เดิมของผู้เรียนเพื่อวิเคราะห์สิ่งที่ขาดไป ส่วนความปรารถนานั้น คือความต้องการที่จะเรียนรู้ส่วนบุคคลของตัวผู้เรียนเอง Robinson (1991) นำเสนอแนวคิด และศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจความต้องการ 3 คำ ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์เป้าหมาย (target situation analysis – TSA) การวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน (present situation analysis – PSA) และ การตรวจสอบทางภาษา (language audit) การตรวจสอบทางภาษาคือ การนำเอา TSA และ PSA มารวมกันเพื่อใช้ในการอบรมภาษาสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม Robinson นำเสนอกระบวนการ 3 ขั้นตอนในการตรวจสอบทางภาษาที่ใช้แสดงบทบาทของภาษาต่างประเทศที่มีต่อการค้า และการอุตสาหกรรม อันดับแรก คือ ทักษะทางภาษาที่เป็นทักษะเป้าหมาย ขั้นตอนนี้เป็นการสำรวจหาทักษะทางภาษาเฉพาะอย่างที่จำเป็นต้องใช้เฉพาะงาน อันดับต่อมา คือ ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในปัจจุบันเพื่อพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ความรู้ทางภาษาอังกฤษสำหรับงานนั้นๆมากน้อยเพียงใด และอันดับที่ 3 ผู้ตรวจสอบจะต้องวิเคราะห์ว่าผู้เรียนต้องการการอบรมมากน้อยแค่ไหนเพื่อลดช่องว่างระหว่างความสามารถในปัจจุบัน กับ เกณฑ์เป้าหมายที่ทางบริษัทต้องการ
นอกจากนี้ Robinson ยังได้ทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการสำรวจความต้องการในงานวิจัยหลายชิ้น และได้สรุปประเภทของความต้องการออกมาเป็น 5 ประเภท คือ
ความต้องการ อาจหมายถึงเกณฑ์คุณสมบัติในงาน หรือการเรียนของผู้เรียน กล่าวคือ หมายถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องสมารถทำได้ภายหลังจากการเรียนภาษาเสร็จสิ้นลง ความต้องการประเภทนี้เป็นแบบที่เน้นเป้าหมาย
ความต้องการ อาจหมายถึงสิ่งที่สถาบันหรือสังคมมองว่าเป็นสิ่งจำเป็น หรือเป็นสิ่งที่ปรารถนาไว้ว่าจะได้เรียนรู้จากหลักสูตรการเรียนการสอนภาษา
ความต้องการ อาจหมายถึงสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งภาษา ความต้องการประเภทนี้เป็นแบบที่เน้นกระบวนการ และเกี่ยวข้องกับการกระทำอื่นๆที่เป็นวิธีการเรียนรู้
ความต้องการ อาจหมายถึงสิ่งที่ผู้เรียนเองอยากจะได้จากหลักสูตรสอนภาษา มุมมองความต้องการประเภทนี้แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนอาจมีเป้าหมายส่วนตัวนอกเหนือไปจาก(หรือ
ตรงกันข้ามกันกับ) เกณฑ์คุณสมบัติในงาน หรือการเรียนของผู้เรียน ความต้องการส่วนบุคคลดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นเพียงความอยาก หรือความปรารถนาเท่านั้น
ความต้องการ อาจหมายถึง การขาดตกบกพร่อง ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่ผู้เรียนไม่รู้ หรือทำไม่ได้ในภาษาอังกฤษ
นักวิจัยต่างก็ตีความคำว่า ความต้องการ ออกไปหลากหลายขึ้นอยู่กับกรอบทฤษฎีที่ยึดถือ ลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดความต้องการที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม Chambers (1980) ก็ต่อต้านความกำกวมไม่แน่นอนของศัพท์เทคนิคต่างๆ เขาแย้งว่าปัญหาหลักๆ ในการสำรวจความต้องการคือ ความสับสนในเรื่องศัพท์เทคนิคต่างๆนั่นเอง และเพื่อกำจัดความสับสนนี้ให้หมดไป เขาเสนอให้มีการจัดกลุ่มคำศัพท์เทคนิคที่แทนความหมายต่างๆอยู่แต่เดิมใหม่อีกครั้ง ให้เหลือเพียง 3 ประเด็น นั่นคือ ความต้องการ (ดูได้จาก TSA) ข้อจำกัด (ที่จำกัดการบรรลุความต้องการ) และวัตถุประสงค์ระหว่างทาง (ขั้นตอนในการบรรลุความต้องการ) สรุปได้ว่า การสำรวจความต้องการเป็นจุดเริ่มต้นในการรับรู้ความต้องการของผู้เรียนในด้าน ระดับ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการสอน และอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านธุรกิจ
ภาษาอังกฤษธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ เพราะวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนั้นอยู่บนพื้นฐานของหน้าที่ในการสื่อสารซึ่งจะเป็นตัวกำหนดลักษณะการใช้ภาษา มีเอกสารระบุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับความสนใจด้านภาษาอังกฤษธุรกิจแล