เหตุรำคาญจากกิจการสวนส้ม ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
สถานการณ์ของปัญหามลพิษ
เนื่องจากส้มสายน้ำผึ้งเป็นผลไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้สำคัญให้แก่กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดเชียงใหม่ โดยพบว่ามีพื้นที่ทำการเพาะปลูกส้มสายน้ำผึ้งประมาณ 150,000 ไร่ ในอำเภอฝาง อำเภอแม่อายและอำเภอไชยปราการ เนื่องจากพื้นที่ในเขตอำเภอดังกล่าวมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ผลจากการประกอบกิจการสวนส้มในพื้นที่ 3 อำเภอดังกล่าว ได้สร้างผลกระทบทางสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แล้วมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยมีปัญหาทั้งการแย่งชิงที่ดิน แหล่งน้ำ ปัญหาแรงงานต่างด้าว ปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ในการเพาะปลูกแล้วทำให้เกิดปัญหาร้องเรียนด้านทั้งทางด้านปัญหามลพิษในดินและในน้ำเนื่องจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์นั้นตกค้าง ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ดินและน้ำได้ดังอดีต นอกจากนี้ยังมีปัญหามลพิษทางอากาศจากกลิ่นเหม็นของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ รวมทั้งการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพโดยประชาชนมีอาการผิวหนังอักเสบ มีแผลพุพอง มีอาการปวดศีรษะและเวียนศีรษะเนื่องจากกลิ่นสารเคมีดังกล่าว ซึ่งก่อให้เกิดการขัดแย้งในชุมชนในเขตอำเภอดังกล่าวรุนแรง
จากการศึกษาเกี่ยวกับผลของกลิ่นของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ในเขตพื้นที่ดังกล่าว พบว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการใช้สารเคมีทางการเกษตรหลายประเภท ได้แก่ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต กลุ่มคาร์บาเมท กลุ่มคลอริเน็ตเต็ดไฮโดรคาร์บอน กลุ่มสารฆ่าวัชพืช เป็นต้นโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหาร้องเรียน ได้แก่ สวนส้มในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ในเขต 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอฝาง อำเภอไชยปราการ และอำเภอแม่อาย นั้นพบว่า มีการใช้สารเคมีทางการเกษตรหลายชนิด ได้แก่ ไซเปอร์เมธริน (Cyper Methrin) ซึ่งเป็นสารกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) เอ็นโดซัลแฟน (Endosulfan) ซึ่งเป็นสารกลุ่มคลอริเน็ดเต็ดไฮโดรคาร์บอน (Chorinated Hydrocarbons) คลอไพริฟอส (Chorpyrifos) อะบาเม็คติน (Abamectin) เมทโธมิล (Methomyl) คาร์เบนมาซิม (Carbenmazim) ซึ่งเป็นสารกลุ่มคาร์บาเมท (Carbamates) ไดเมทโธเอท (Dimethoate ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphates) และสารกลุ่มกำจัดวัชพืช ได้แก่ ไกลโฟเสท (Glyphosate) แมนโคเซบ (Mancozeb) เมตาแลกซิล (Metalaxyl) และกรัมม็อกโซน (Gramoxone หรือ Paraquat) นอกจากนี้ยังมีการใช้สารอันตรายต้องห้าม 2 ชนิดในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต คือ เมธามิโดฟอส (Methamidophos)และโมโนโตฟอส (Monotophos) ซึ่งเกษตรกรใช้สารหลายประเภทนี้ผสมกันในการฉีดพ่น ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและปัญหาทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาระหว่างเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2546- กรกฎาคม พ.ศ. 2547 พบว่า ประชาชนร้อยละ 25.7 มีอาการเวียนศีรษะ รองลงมาคืออาการหน้ามืด ร้อยละ 9.9 โดยประชากรในกลุ่มอายุ 43-59 ปี จะมีอาการมากที่สุด นอกจากนี้ยังพบอาการผิดปกติของผิวหนังโดยมีอาการผื่นคัน ร้อยละ 62.2 รองลงมาคือมีผิวหนังเป็นผื่นแดง คิดเป็นร้อยละ 26.9 นอกจากนี้ยังพบว่าจากข้อมูลสาเหตุการป่วยของผู้ป่วยนอกย้อนหลังในช่วงปีพ.ศ. 2540-2544 ของประชาชนในเขตสามอำเภอดังกล่าว พบว่าสาเหตุของการป่วยอันดับแรกของประชาชนทั้ง 3 อำเภอ คือ การป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ รองลงมาคือ โรคระบบกล้ามเนื้อรวมโครงร่างและเนื้อยึด โรคระบบย่อยอาหารรวมช่องปาก โรคผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งคณะศึกษาภายใต้การดูแลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่คาดว่า น่าจะเป็นผลมาจากพิษของสารเคมีที่ใช้ดังกล่าว นอกจากนี้จากผลการตรวจเลือดของเกษตรกรในเขตสามอำเภอนี้ในช่วงปีพ.ศ. 2542-2544 พบว่า เกษตรกรมีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยในปีพ.ศ. 2544 นั้น มีเกษตรกรที่มีปริมาณสารเคมีออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมทตกค้างอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย ในเขตอำเภอฝางและอำเภอแม่อายคิดเป็นร้อยละ 12.11 และร้อยละ 8.70 ตามลำดับ