The Black Death, also known as the

The Black Death, also known as the Bubonic Plague, was the tragic end for most of the people of Europe in the 1300s. This disease killed all people, regardless of their age, social group, ethnicity, or believes. The loss of so many people, including the church leaders and bishops, brought despair amongst the ones who had survived. They would question God, wondering how He could bring such tragedy to the people, and how even the people who had worshiped Him for so long could not avoid this terrible death.[1]

As the disease affected more and more people, civilians got mad. They made many accusations of who they believed brought the illness over to Europe, and violence increased as time went on. Groups like the Jews were easy to blame, accused of manipulating sources of water and practicing witchcraft. The Europeans believed this was the reason for the Black Death, and persecuted the Jews, in hopes of ending the plague. Even with some villages setting authorities to protect them, the Jewish people could not escape the hatred and violence from the rest of the population. They fled Europe, and never returned. Contrary to Europeans’ beliefs, getting rid of the Jews did not end the deaths. [2]

The plague was the end of not only men, but animals and harvest too. As men died from the disease, no one was there to take care of their fiefs, killing the animals and crops on it. Because of this, starvation fell upon villages and towns, and men lost their manpower and were not able to work. Basic needs, like bread, were short on supply, leading to inflation. This rise of prices in the economy was hard on the poor, and they could not keep up with it.[3] Peasants that had survived the Black Death were convinced they were special, and that God had protected them from death. This changed peasants’ outlook on life, as they tried to find better wages, and even demanding so if a lord was desperate. This went against the Feudal System, and therefor caused for the government’s fury.[4] Then, in 1351, the Law of Laborers was passed to try and suppress the peasant’s attempts in getting more money than they had before. The law stated that “No peasants could be paid more than the wages paid in 1346. No lord or master should offer more wages than paid in 1346. No peasants could leave the village they belonged to.” The peasants got even angrier with this law, because it wasn’t helping anyone - the peasants didn’t get the money they needed to survive, and the lords didn’t get the work they needed done. Although they knew going against this law would result in trouble, some peasants disobeyed it. In 1381, the peasants were so angry, they led revolts.[5]


Population impact. The virus and the plague have caused a decline in society in terms of the number of deaths and the economic loss in this world. For example, the Black Plague destroyed one quarter of the European population and is called one of the most significant diseases in history. Between 1348 and 1351, more than one million men, women, and children died in England. This was over one third of England's population dead due to this deadly virus
Working conditions. As large numbers of peasants die from the Black Death rents are no longer paid, there is a shortage of labour and serfs are no longer readily available to be called up into regional military forces in times of need.
As a result of the labour shortages caused by the Black Death the landed aristocracy begin to lose much of their power and status.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ดำตาย ที่รู้จักกันกาฬโรค เป็นสิ้นสุดที่น่าเศร้าสำหรับคนยุโรปส่วนใหญ่ในการ 1300s โรคนี้ฆ่าคนทุกคน โดยไม่คำนึงถึงอายุของพวกเขา กลุ่มสังคม เชื้อ ชาติ หรือเชื่อว่า การสูญเสียของผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้นำคริสตจักรและบาทหลวง ความสิ้นหวังในหมู่คนที่รอดชีวิตมา พวกเขาจะถามพระเจ้า สงสัยว่า เขาสามารถนำโศกนาฏกรรมดังกล่าว คน และแม้ว่าผู้ที่ได้บูชาพระองค์สำหรับนาน หลีกเลี่ยงไม่ตายนี้น่ากลัว [1]เป็นโรคมีผลกระทบมาก ขึ้นคน พลเรือนได้บ้า พวกเขาทำหลายที่พวกเขาเชื่อว่าข้อกล่าวหาทำให้การเจ็บป่วยผ่านไปยุโรป และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มเช่นชาวยิวถูกต้องตำหนิ ถูกกล่าวหาว่าจัดการกับแหล่งน้ำ และฝึกคาถา ชาวยุโรปเชื่อว่า นี่เป็นสาเหตุการตายดำ และถูกแกล้งชาวยิว ความหวังของการสิ้นสุดภัยพิบัติ แม้จะ มีบางหมู่บ้านที่ตั้งหน่วยงานเพื่อปกป้องพวกเขา คนยิวอาจไม่หนีความเกลียดชังและความรุนแรงจากส่วนเหลือของประชากร พวกเขาหนีไปยุโรป และไม่เคยกลับ ขัดกับความเชื่อของชาวยุโรป การกำจัดชาวยิวไม่จบเสียชีวิต [2]ภัยพิบัติคือ จุดสิ้นสุดของ ผู้ชาย ไม่เพียง แต่สัตว์ และเก็บเกี่ยวมากเกินไป เป็นชายเสียชีวิตจากโรค ไม่มีใครอยู่ที่นั่นจะดูแล fiefs ของพวกเขา ฆ่าสัตว์และพืชมัน ด้วยเหตุนี้ ความอดอยากอยู่กับหมู่บ้านและเมือง และผู้ชายสูญเสียกำลังคนของพวกเขา และไม่สามารถทำงาน ความต้องการพื้นฐาน เช่นขนมปัง สั้นแหล่งจ่าย นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อได้ นี้การเพิ่มขึ้นของราคาในระบบเศรษฐกิจเป็นหนักในคนยากจน และพวกเขาไม่สามารถให้ค่ากับมัน [3] ชาวนาที่ได้รอดตายดำได้เชื่อว่าพวกเขาเป็นพิเศษ และว่า พระเจ้าได้ป้องกันพวกเขาจากความตาย นี้เปลี่ยนแปลง outlook ของชาวนาในชีวิต ตามที่พวกเขาพยายามหาค่าจ้างดีกว่า และแม้กระทั่งเรียกร้องนั้นถ้าเป็นพระก็หมดหวัง นี้ไปกับระบบศักดินา และดังนั้นเกิดการโกรธของรัฐบาล [4] แล้ว ใน 1351 กฎหมายคนงานที่ถูกส่งผ่าน และพยายามระงับความพยายามของชาวนาในการรับเงินได้มากกว่าพวกเขาก่อน กฎหมายระบุไว้ว่า "ชาวนาไม่อาจจะต้องจ่ายมากกว่าค่าจ้างที่จ่ายใน 1346 ไม่มีพระเจ้าหรือหลักควรเสนอค่าจ้างเพิ่มเติมมากกว่าใน 1346 ชาวนาไม่อาจปล่อยให้หมู่บ้านที่พวกเขาเคยเป็น" ชาวนามีแม้ angrier กฎหมายนี้ เพราะมันไม่ได้ช่วยทุกคน- ชาวนาไม่ได้รับเงินที่พวกเขาต้องการอยู่รอด และลอร์ดไม่ได้รับงานที่พวกเขาต้องทำ แม้ว่าพวกเขารู้ว่า การกระทำนี้กฎหมายจะส่งผลในปัญหา ชาวนาบางไม่มัน ใน 1381 ชาวนาโกรธมาก พวกเขานำปฎิวัติ [5]ผลกระทบต่อประชากร ไวรัสและโรคระบาดมีสาเหตุจากมีการลดในสังคมในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตและสูญเสียทางเศรษฐกิจในโลกนี้ เช่น กาฬโรคดำทำลายหนึ่งในสี่ของประชากรในยุโรป และเรียกว่าหนึ่งในโรคสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่าง 1348 1351 มากกว่าหนึ่งล้านคน หญิง และเด็กเสียชีวิตในอังกฤษ นี้เป็นมากกว่าหนึ่งในสามของประชากรของอังกฤษตายเนื่องจากไวรัสร้ายนี้สภาพการทำงาน ชาวนาตายจากค่าเช่าดำตายจำนวนมากมีการชำระเงิน ไม่มีการขาดแคลนแรงงาน และ serfs จะไม่พร้อมใช้งานจะเรียกเป็นกองกำลังทหารในภูมิภาคในยามจำเป็นเป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงานที่เกิดจากการตายดำ ชนที่ดินเริ่มสูญเสียอำนาจและสถานะ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กาฬโรคยังเป็นที่รู้จักกาฬโรคเป็นจุดสิ้นสุดที่น่าเศร้าสำหรับคนส่วนใหญ่ของยุโรปในยุค 1300 โรคนี้ฆ่าคนทุกคนโดยไม่คำนึงถึงอายุของพวกเขากลุ่มสังคมเชื้อชาติหรือเชื่อ การสูญเสียของผู้คนจำนวนมากรวมทั้งผู้นำคริสตจักรและบาทหลวงนำความสิ้นหวังในหมู่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะถามพระเจ้าสงสัยว่าเขาอาจจะนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมดังกล่าวให้กับผู้คนและวิธีการที่แม้กระทั่งคนที่ได้นมัสการพระองค์มานานไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายที่น่ากลัวนี้. [1] ในฐานะที่เป็นโรคได้รับผลกระทบมากขึ้นและพลเรือนได้บ้า . พวกเขาทำให้ข้อกล่าวหาจำนวนมากของผู้ที่พวกเขาเชื่อว่านำความเจ็บป่วยไปยังยุโรปและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เหมือนกลุ่มชาวยิวเป็นเรื่องง่ายที่จะตำหนิผู้ถูกกล่าวหาในการจัดการกับแหล่งที่มาของน้ำและการฝึกคาถา ชาวยุโรปเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่กาฬโรคและข่มเหงชาวยิวในความหวังของการสิ้นสุดภัยพิบัติ ถึงแม้จะมีบางหมู่บ้านการตั้งหน่วยงานเพื่อปกป้องพวกเขา, คนยิวไม่สามารถหลบหนีความเกลียดชังและความรุนแรงจากส่วนที่เหลือของประชากร พวกเขาหนีไปยุโรปและไม่เคยกลับมา ขัดกับความเชื่อของชาวยุโรป 'การกำจัดของชาวยิวไม่ได้จบการเสียชีวิต [2] ภัยพิบัติเป็นจุดสิ้นสุดของไม่เพียง แต่มนุษย์ แต่สัตว์และเก็บเกี่ยวเกินไป ในฐานะที่เป็นคนเสียชีวิตจากโรคที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลหัวเมืองของพวกเขาฆ่าสัตว์และพืชในนั้น ด้วยเหตุนี้การอดอาหารลดลงเมื่อหมู่บ้านและเมืองและคนสูญเสียกำลังคนของพวกเขาและไม่สามารถที่จะทำงาน ความต้องการขั้นพื้นฐานเช่นขนมปังสั้นในการจัดหาที่นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของราคาในระบบเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องยากที่คนยากจนและพวกเขาไม่สามารถให้ทันกับมัน. [3] ชาวนาที่ยังมีชีวิตอยู่กาฬโรคเชื่อว่าพวกเขามีความพิเศษและว่าพระเจ้าทรงปกป้องพวกเขาจากความตาย นี้เปลี่ยนมุมมองของชาวบ้านเกี่ยวกับชีวิตขณะที่พวกเขาพยายามที่จะหาค่าจ้างที่ดีขึ้นและยังเรียกร้องดังนั้นหากเจ้านายก็หมดหวัง นี้ไปกับระบบศักดินาและเหตุที่เกิดสำหรับความโกรธของรัฐบาล. [4] จากนั้นใน 1351, กฎหมายของแรงงานก็ผ่านไปได้ที่จะลองและปราบปรามความพยายามของชาวนาในการได้รับเงินมากขึ้นกว่าที่พวกเขาเคยมีมาก่อน กฎหมายระบุไว้ว่า "ไม่มีชาวบ้านจะได้รับการจ่ายเงินมากกว่าค่าจ้างที่จ่ายใน 1346. ไม่มีเจ้านายหรือต้นแบบควรมีค่าจ้างมากกว่าที่จ่ายใน 1346. ไม่มีชาวบ้านจะออกจากหมู่บ้านที่พวกเขาเป็น." ชาวบ้านได้แม้จะโกรธกับกฎหมายนี้ เพราะมันก็ไม่ได้ช่วยให้ใคร - ชาวนาไม่ได้รับเงินที่พวกเขาต้องการที่จะอยู่รอดและเจ้าไม่ได้รับงานที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจะต่อต้านกฎหมายนี้จะส่งผลให้ปัญหาชาวบ้านบางส่วนไม่เชื่อฟังมัน ใน 1381 ชาวบ้านโกรธเช่นนั้นพวกเขานำไปสู่การปฏิวัติ. [5] ส่งผลกระทบต่อประชากร ไวรัสและภัยพิบัติที่เกิดจากการลดลงได้ในสังคมในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตและสูญเสียทางเศรษฐกิจในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่นโรคระบาดทำลายสีดำหนึ่งในสี่ของประชากรยุโรปและถูกเรียกว่าหนึ่งในโรคที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่าง 1348 และ 1351 มากกว่าหนึ่งล้านคน, ผู้หญิงและเด็กเสียชีวิตในประเทศอังกฤษ นี่เป็นมากกว่าหนึ่งในสามของอังกฤษประชากรตายเนื่องจากไวรัสนี้ร้ายแรงเงื่อนไขในการทำงาน ในฐานะที่เป็นจำนวนมากชาวบ้านเสียชีวิตจากกาฬโรคค่าเช่าจะไม่จ่ายมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการเสิร์ฟจะไม่พร้อมที่จะถูกเรียกขึ้นเป็นกองกำลังทหารในภูมิภาคในเวลาที่ต้องการ. อันเป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงานที่เกิด โดยกาฬโรคขุนนางเจ้าของที่ดินเริ่มต้นที่จะสูญเสียมากของอำนาจและสถานะของพวกเขา