Appendicitis (also called epityphli

Appendicitis (also called epityphlitis[1]) is inflammation of the appendix. Appendicitis commonly presents with right iliac fossa abdominal pain, nausea, vomiting, and decreased appetite.[2] However, half to one third of persons do not have these typical signs and symptoms.[3] Severe complications of a ruptured appendix include wide spread, painful inflammation of the inner lining of the abdominal wall and sepsis.[4]

Appendicitis is caused by a blockage of the hollow portion of the appendix,[5][6] most commonly by a calcified "stone" made of feces. However inflamed lymphoid tissue from a viral infection, parasites, gallstone or tumors may also cause the blockage.[7] This blockage leads to increased pressures within the appendix, decreased blood flow to the tissues of the appendix, and bacterial growth inside the appendix causing inflammation.[7][8] The combination of inflammation, reduced blood flow to the appendix and distention of the appendix causes tissue injury and death.[9] If this process is left untreated, the appendix may burst releasing bacteria into the abdominal cavity, leading to severe abdominal pain, increased complications, longer hospital stays and the need for more antibiotics.[9][10]

The diagnosis of appendicitis remains largely based on signs and symptoms as determined by a medical history and physical exam.[8] In cases where the diagnosis cannot be made based on the person's history and physical exam, close observation, radiographic imaging and laboratory tests can often be helpful.[11] The two most common imaging tests used are ultrasound and computer tomography (CT scan).[11] CT scan has been shown to be more accurate than ultrasound in detecting acute appendicitis.[12][13] However, ultrasound may be preferred as the first imaging test in children and pregnant women due to the risks associated with radiation exposure from CT scans.[11]

The standard treatment for acute appendicitis is surgical removal of the appendix.[7][8] This may be done by an open incision in the abdomen or through a few smaller incisions with the help of cameras. Surgery decreases the risk of side effects or death associated with rupture of the appendix.[4] Antibiotics may be equally effective in certain cases of non-ruptured appendicitis.[14] Reginald Fitz is credited with being the first person to describe the condition in a paper published in 1886.[15] It is one of the most common and significant causes of severe abdominal pain that comes on quickly worldwide. In the United States, appendicitis is the most common cause of acute abdominal pain requiring surgery.[2] Each year in the United States, more than 300,000 persons with appendicitis have their appendix surgically removed

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ไส้ติ่งอักเสบ ( เรียกว่า epityphlitis [ 1 ] ) คือการอักเสบของไส้ติ่ง โรคไส้ติ่งอักเสบมักเสนอกับขวา iliac แอ่งปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และความอยากอาหารลดลง . [ 2 ] อย่างไรก็ตาม ครึ่งถึงหนึ่งในสามของผู้ที่ไม่ได้มีทั่วไปสัญญาณและอาการเหล่านี้ . [ 3 ] รุนแรง ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งแตกรวมกว้างแพร่กระจายการอักเสบเจ็บปวดของเยื่อบุภายในของผนังช่องท้องและการติดเชื้อ [ 4 ]

ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการอุดตันของโพรงส่วนของภาคผนวก [ 5 ] [ 6 ] โดยทั่วไปมากที่สุด โดยครั้งนี้ " หิน " ที่ทำจากอุจจาระ อย่างไรก็ตามอักเสบเนื้อเยื่อลิมฟอยด์จากการติดเชื้อไวรัส , ปรสิต , นิ่วในถุงน้ำดี หรือเนื้องอกอาจทำให้จุก [ 7 ] จุกนี้นำไปสู่การเพิ่มความดันภายในไส้ติ่งลดการไหลของเลือดไปยังเนื้อเยื่อของภาคผนวกและเจริญเติบโตของแบคทีเรียในภาคผนวกที่ก่อให้เกิดการอักเสบ [ 7 ] [ 8 ] การรวมกันของการอักเสบ ลดการไหลของเลือดไปยังภาคผนวกและภาคผนวก 3 ของสาเหตุการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อและความตาย [ 9 ] ถ้ากระบวนการนี้ซ้ายไม่ถูกรักษาไส้ติ่งจะแตกปล่อยในแบคทีเรีย ช่องท้อง ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงเพิ่มภาวะแทรกซ้อนต่อไปโรงพยาบาลอยู่และต้องการยาปฏิชีวนะมากขึ้น [ 9 ] [ 10 ]

การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบส่วนใหญ่ยังคงตามอาการตามที่กำหนดโดยประวัติและตรวจร่างกาย [ 8 ] ในกรณีที่การวินิจฉัยไม่สามารถทำบนพื้นฐานของบุคคล ประวัติ และการตรวจร่างกาย การสังเกต ปิดด้วยภาพและการทดสอบในห้องปฏิบัติการมักจะสามารถเป็นประโยชน์[ 11 ] สองที่พบมากที่สุดที่ใช้และการทดสอบการถ่ายภาพอัลตราซาวนด์คอมพิวเตอร์โทโมกราฟี ( CT Scan ) [ 11 ] CT สแกนได้ถูกแสดงเป็น แม่นกว่าอัลตราซาวด์ในการตรวจหาไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน [ 12 ] [ 13 ] อย่างไรก็ตาม อัลตร้าซาวน์ อาจจะใช้เป็นครั้งแรกโดยการทดสอบในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากการ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสรังสีจากการทำ CT scan [ 11 ]

มาตรฐานการรักษาคือ ผ่าตัดไส้ติ่ง ไส้ติ่ง [ 7 ] [ 8 ] นี้อาจจะทำโดยการเปิดแผลในช่องท้อง หรือมีขนาดเล็กเพียงไม่กี่แผล ด้วยความช่วยเหลือของกล้อง การผ่าตัดลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง หรือความตายที่เกี่ยวข้องกับการแตกของไส้ติ่ง [ 4 ] ยาปฏิชีวนะอาจจะมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกันในบางกรณีไม่ฉีกขาด ไส้ติ่งอักเสบ[ 14 ] เรจินัลด์ ฟิทซ์เป็นเครดิตกับการเป็นคนแรกที่จะอธิบายภาพในกระดาษที่ตีพิมพ์ใน 1886 . [ 15 ] มันเป็นหนึ่งในที่พบมากที่สุดและที่สำคัญสาเหตุของการปวดท้องอย่างรุนแรง ที่มาอย่างรวดเร็วทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกา , ไส้ติ่งอักเสบเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดของอาการปวดช่องท้องต้องผ่าตัด [ 2 ] ในแต่ละปีในสหรัฐอเมริกามากกว่า 300 ,000 คน ไส้ติ่งอักเสบไส้ติ่งผ่าตัดออกของพวกเขามี