2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จิตตรา ดอกบัว (2551) งานวิจัยนี้ศึกษาประสิทธิภาพเซลลูโลสฟอสเฟตจากฟางข้าวและชานอ้อยเพื่อใช้ดูดซับตะกั่วและแคสเมียมในน้ำเสีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการเพิ่มปริมาณฟอสฟอรัสในฟางข้าวและชานอ้อยที่ผ่านปฏิกิริยาฟอสฟอไรเลชัน เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของเซลลูโลสฟอสเฟตที่เตรียมไดจากฟางข้าวและชานอ้อยในการดูดซับโลหะหนักและเพื่อจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่นักศึกษาในเรื่องการบําบัดโลหะหนักในน้ำเสียด้วยเซลลูโลสฟอสเฟตผลการวิจัยพบว่า ปริมาณฟอสเฟตในฟางข้าวและชานอ้อยเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิและเวลาที่เพิ่มขึ้นในการทําปฏิกิริยาฟอสฟอไรเลชัน และเมื่อทําการทดสอบประสิทธิภาพการดูดซับตะกั่วและแคดเมียมในน้ำเสียที่เตรียมขึ้นในห้องปฏิบัติการและน้ำเสียจากโรงงาน พบว่าเซลลูโลสฟอสเฟตจากฟางข้าวและชานอ้อยมีความสามารถในการดูดซับ ตะกั่วได้ดีกว่าแคดเมียม และเซลลูโลสฟอสเฟตจากฟางข้าวมีความสามารถในการดูดซับตะกั่วและแคดเมียมได้ดีกว่าเซลลูโลสฟอสเฟตจากชานอ้อย
6
สุวรรณา ละม้ายอินทร์ (2553) งานวิจัยนี้ศึกษาการปรับปรุงกระบวนการผลิตฟองน้ำเซลลูโลสจากฟางข้าว โดยจะมุ่งเน้นไปที่การปรับสภาพฟางข้าวก่อนนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นฟองน้ำเซลลูโลส การทดลองนี้จะทำการศึกษาผลของความเข้มข้นของสารละลายโซเดียมไอดรอกไซด์และอุณหภูมิที่มีผลต่อการปรับสภาพฟางข้าว พบว่าสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการปรับสภาพ คือ ที่ความเข้มข้น ของโซเดียมไฮดรอกไซด์ร้อยละ 10 ที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 90 นาที จากนั้นจึงนำฟางข้าวที่ผ่านการปรับสภาพมาผลิตเป็นฟองน้ำเซลลูโลสผ่านกระบวนการเตรียมวิสคอส (Viscose Process) โดยศึกษาผลของปริมาณเซลลูโลสในสารละลายวิสคอส อัตราส่วนระหว่างวิสคอสต่อโซเดียมซัลเฟตและปริมาณเส้นใยฝ้ายที่มีต่อการดูดซับน้ำ การพองตัว และการทนต่อแรงดึงของฟองน้ำเซลลูโลส จากผลการทดลองพบว่าสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตฟองน้ำเซลลูโลสได้แก่ สภาวะที่มีปริมาณเซลลูโลสในวิสคอสร้อยละ 6 อัตราส่วนระหว่างวิสคอสต่อโซเดียมซัลเฟต เป็น 1:2 และใส่เส้นใยฝ้ายร้อยละ 1 โดยน้ำหนักเทียบกับน้ำหนักวิสคอส และฟองน้ำที่ผลิตได้มีความสามารถในการดูดซึมได้สูงมากถึง 31 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักของฟองน้ำแห้ง จากผลการทดลองนี้ ฟองน้ำเส้นใยธรรมชาติสามารถดูดซับน้ำได้ดีกว่าผลงานวิจัยเดิมถึง 2.14 เท่า
ภาคภูมิ จตุรภูมิสวัสดิ์ และคณะ (2554) งานวิจัยนี้ศึกษาการเตรียมตัวดูดซับจากเถ้าแกลบเพื่อดูดซับกรดไขมันอิสระในน้ามันปาล์มดิบจากการศึกษาสภาวะที่ใช้ในการเตรียมตัวดูดซับการเถ้าแกลบซึ่งเตรียมจากการเผาแกลบที่อุณหภูมิ 450 และ 700 °C และแช่กรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 3 โมลาร์ก่อนหรือหลังเผาและตัวดูดซับทดลองดูดซับกรดไขมันอิสระในน้ามันปาล์มดิบโดยใช้ตัวดูดซับ 0.4 กรัมต่อน้ามันปาล์มดิบ 20 กรัมที่อุณหภูมิ 50 °C เป็นเวลา 3 ชั่วโมงพบว่าเถ้าแกลบ 700 °C ดูดซับดีกว่าเถ้าแกลบ 450 °C เนื่องจากการเผาแกลบที่อุณหภูมิสูงทาให้สิ่งเจือปนน้อยและรูพรุนมีขนาดใหญ่สาหรับการแช่กรดของเถ้าแกลบที่ 450 °C จะส่งผลให้ความสามารถในการดูดซับเพิ่มขึ้นแต่การแช่กรดของเถ้าแกลบที่ 700 °C จะส่งผลให้ความสามารถในการดูดซับลดลงอาจเนื่องจากการแช่กรดส่งผลต่อขนาดรูพรุนพื้นที่ผิวและองค์ประกอบของตัวดูดซับโดยลาดับการแช่กรดก่อนหลังไม่มีนัยสำคัญตัวดูดซับที่มีความสามารถในการดูดซับดีที่สุดคือเถ้าแกลบแช่กรดก่อนเผาที่ 450 °C สามารถดูดซับกรดไขมันอิสระได้ 210 มิลลิกรัมของกรดไขมันต่อกรัมของตัวดูดซับ