วงแชมเบอร์มิวสิคเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมานับแต่ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลาง เป็นการผสมวงซึ่งพบในบทเพลงโมเท็ต (Motet) และแมดริกัล (Madrigal) ซึ่งเป็นบทเพลงขับร้อง โดยนับแต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเครื่องลมได้เข้ามาบรรเลงร่วมกับการขับร้อง
Webster"s Dictionary ให้คำจำกัดความแชมเบอร์มิวสิคว่า "Instrumental music suitable for performance in a chamber or a small audience hall"
ศ.ไขแส ศุขะวัฒนะ แปลว่า "ดนตรีประเภทบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับแสดงภายในห้องโถงหรือสถานที่ที่จุผู้ฟังได้เพียงจำนวนน้อย" หรือจะเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า แชมเบอร์มิวสิคเป็นดนตรีของนักดนตรี (musicians" music), ดนตรีของมิตรสหาย (music of friends) และดนตรีในหมู่เพื่อนฝูง (music among friends)
ในสมัยแรกวงดนตรีประเภทนี้บรรเลงในคฤหาสน์ขุนนาง หรือห้องที่จุผู้ฟังได้น้อย เพราะใช้ผู้เล่นเพียงไม่กี่คน ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียง เสียงที่ออกมาไม่ยิ่งใหญ่มโหฬารหรือมีพลังอย่างวงออร์เคสตรา แต่ต่อมาขยับไปเล่นในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ และในที่สุดมีการเล่นในคอนเสิร์ตฮอลล์ หรือสังคีตสถาน เช่น ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
การฟังต้องมีความรู้ความเข้าใจเช่นเดียวกับการฟังดนตรีคลาสสิคอื่นๆ คุณภาพการเล่น อยู่ที่ความสามารถของผู้เล่น ลักษณะเด่นอยู่ที่เสียงดนตรีที่แท้จริง ใครเล่นผิดพลาดจะได้ยินชัดเจน ความถูกต้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ
วงแชมเบอร์มิวสิคมีชื่อเรียกต่างกันตามจำนวนผู้บรรเลง มีนักดนตรีตั้งแต่ 2-9 คน ดังนี้
- ผู้บรรเลง 2 คน เรียก ดูโอ (Duo)
- ผู้บรรเลง 3 คน เรียก ทริโอ (Trio)
- ผู้บรรเลง 4 คน เรียก ควอเต็ต (Quartet)
- ผู้บรรเลง 5 คน เรียก ควินเต็ต (Quintet)
- ผู้บรรเลง 6 คน เรียก เซกซ์เต็ต (Sextet)
- ผู้บรรเลง 7 คน เรียก เซพเต็ต (Septet)
- ผู้บรรเลง 8 คน เรียก ออคเต็ต (Octet)
- ผู้บรรเลง 9 คน เรียก โนเน็ต (Nonet)
ในการเรียกชื่อวงแชมเบอร์มิวสิคยังมีประเพณีในการเรียกอีกอย่าง คือเรียกชื่อประเภทของเครื่องดนตรีก่อนแล้วตามด้วยจำนวนเครื่องดนตรี เช่น สตริงควอเต็ต หมายถึง วงแชมเบอร์มิวสิคที่ประกอบด้วย ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล เป็นต้น
เครื่องดนตรีที่นำรวมกันเป็นวงแชมเบอร์มิวสิคนั้นที่นิยมแพร่หลาย ได้แก่ กลุ่มเครื่องสายตระกูลไวโอลิน เพราะเสียงของเครื่องตระกูลนี้ไม่ว่าจะเป็นไวโอลิน, วิโอลา, และเชลโล สามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่น วงสตริงควอเต็ต (ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล) ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการผสมวงดนตรีประเภทนี้ควรเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลเดียวกันเพราะสุ้มเสียงที่มีสีสัน (Tone color) เดียวกัน อีกทั้งยังไม่มีการแสดงความเด่นข่มสุ้มเสียงอื่นๆ
ในยุคบาโรค มีการปรับปรุงการจัดวงแชมเบอร์มิวสิคอีกในชื่อว่า ทริโอโซนาตา (Trio sonata) มีผู้บรรเลง 4 คน คือ ผู้บรรเลงเดี่ยว 2 คน และผู้บรรเลงแนวล่างสุดหรือ คอนตินูโอ (Continuo) อีก 2 คน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนผู้บรรเลง 4 คนก็ตาม แต่ให้ถือว่ามี 3 แนวคือ สองแนวแรกเป็นแนวของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว และแนวที่สามนั้นเป็นของเครื่องดนตรีคอนตินูโอ เช่น บาโรคทริโอโซนาตา ประกอบด้วย ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 2, ฮาร์พซิคอร์ดและเชลโล
นอกจากนี้ ยังมีการผสมวงแบบต่างๆ ด้วยเครื่องสายและเปียโน เช่น เปียโนทริโอ (เปียโน, ไวโอลินและเชลโล)
ไทยมีวงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคเช่นกัน โดยนำเอาเครื่องดนตรีตระกูลแซกโซโฟน (โซปราโน, อัลโต, เทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟน) ชื่อ "วงบางกอกแซ็กโซโฟนควอเต็ต" โดยรศ.ดร.สุกรี เจริญสุข และสมาชิก ตั้งแต่ปี 2532
การผสมวงที่ใช้เครื่องลมบางชนิดรวมกัน เช่น โอโบ 2, คลาริเนต 2, บาสซูน 2 และแตรเฟรนช์ฮอร์น 2 รวมเรียกว่า วินด์ออคเต็ต (Wind Octet)
นอกจากนี้ ถ้าการบรรเลงของแชมเบอร์มิวสิคเกิน 9 คน แต่ไม่ถึง 20 คน เรียก อองซองเบลอ (ensemble) หมายความว่า ด้วยกัน เช่น วินด์ อองซองเบลอกับดับเบิ้ลเบส ของโมสาร์ต ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจในการแสดงของทุกคน รวมถึงความสามารถของนักดนตรีแต่ละคน
ในกรณีที่กลุ่มนักดนตรีไม่ว่าชนิดที่มีเฉพาะผู้เล่นเครื่องสายล้วนๆ และมีผู้เล่นเครื่องลมผสมอยู่บ้าง แต่รวมแล้วไม่เกิน 30 คน โดยสัดส่วนของวงเช่นเดียวกับวงออร์เคสตรา กลุ่มนักดนตรีนี้ก็จะเรียกว่า วงออร์เคสตราแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Orchestra)
ลักษณะการผสมวงแบบแชมเบอร์มิวสิคนี้ หากนักดนตรีที่มารวมกันนั้นเป็นนักศึกษามาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ กัน อาจเป็นการรวมวงระหว่างอาจารย์หรือนักศึกษาที่มีความสามารถทางดนตรีเป็นเยี่ยม มักจะเรียกการรวมวงประเภทนี้ว่า โปรมิวสิกา ออร์เคสตรา (Promusica Orchestra)
วงแชมเบอร์มิวสิคเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมานับแต่ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลางเป็นการผสมวงซึ่งพบในบทเพลงโมเท็ต (โมเต็ต) และแมดริกัล (บทเพลง) ซึ่งเป็นบทเพลงขับร้องโดยนับแต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเครื่องลมได้เข้ามาบรรเลงร่วมกับการขับร้อง เว็บสเตอร์ "s พจนานุกรมให้คำจำกัดความแชมเบอร์มิวสิคว่า"บรรเลงเพลงเหมาะสำหรับประสิทธิภาพการทำงานในหอเป็นหอผู้ชมขนาดเล็ก"ศ.ไขแสศุขะวัฒนะหรือจะเรียกดนตรีประเภทนี้ว่าแปลว่า "ดนตรีประเภทบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับแสดงภายในห้องโถงหรือสถานที่ที่จุผู้ฟังได้เพียงจำนวนน้อย" แชมเบอร์มิวสิคเป็นดนตรีของนักดนตรี (นักดนตรี"เพลง) ดนตรีของมิตรสหาย (เพลงของเพื่อน) และดนตรีในหมู่เพื่อนฝูง (เพลงในหมู่เพื่อน) ในสมัยแรกวงดนตรีประเภทนี้บรรเลงในคฤหาสน์ขุนนางหรือห้องที่จุผู้ฟังได้น้อยเพราะใช้ผู้เล่นเพียงไม่กี่คนไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียงเสียงที่ออกมาไม่ยิ่งใหญ่มโหฬารหรือมีพลังอย่างวงออร์เคสตราแต่ต่อมาขยับไปเล่นในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่และในที่สุดมีการเล่นในคอนเสิร์ตฮอลล์หรือสังคีตสถานเช่นศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยเป็นต้น การฟังต้องมีความรู้ความเข้าใจเช่นเดียวกับการฟังดนตรีคลาสสิคอื่น ๆ คุณภาพการเล่นอยู่ที่ความสามารถของผู้เล่นลักษณะเด่นอยู่ที่เสียงดนตรีที่แท้จริงใครเล่นผิดพลาดจะได้ยินชัดเจนความถูกต้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ดังนี้วงแชมเบอร์มิวสิคมีชื่อเรียกต่างกันตามจำนวนผู้บรรเลงมีนักดนตรีตั้งแต่ 2-9 คน-ผู้บรรเลง 2 คนเรียกดูโอ (Duo)-ผู้บรรเลง 3 คนเรียกทริโอ (ทรีโอ)-ผู้บรรเลง 4 คนเรียกควอเต็ต (เสียง)-ผู้บรรเลง 5 คนเรียกควินเต็ต (Quintet)-ผู้บรรเลง 6 คนเรียกเซกซ์เต็ต (Sextet)-ผู้บรรเลง 7 คนเรียกเซพเต็ต (Septet)-ผู้บรรเลง 8 คนเรียกออคเต็ต (ออกเตต)-ผู้บรรเลง 9 คนเรียกโนเน็ต (Nonet)ในการเรียกชื่อวงแชมเบอร์มิวสิคยังมีประเพณีในการเรียกอีกอย่างคือเรียกชื่อประเภทของเครื่องดนตรีก่อนแล้วตามด้วยจำนวนเครื่องดนตรีเช่นสตริงควอเต็ตหมายถึงวงแชมเบอร์มิวสิคที่ประกอบด้วยไวโอลิน 2 คัน วิโอลาและเชลโลเป็นต้น เครื่องดนตรีที่นำรวมกันเป็นวงแชมเบอร์มิวสิคนั้นที่นิยมแพร่หลาย ได้แก่ กลุ่มเครื่องสายตระกูลไวโอลิน เพราะเสียงของเครื่องตระกูลนี้ไม่ว่าจะเป็นไวโอลิน, วิโอลา, และเชลโล สามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่น วงสตริงควอเต็ต (ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล) ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการผสมวงดนตรีประเภทนี้ควรเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลเดียวกันเพราะสุ้มเสียงที่มีสีสัน (Tone color) เดียวกัน อีกทั้งยังไม่มีการแสดงความเด่นข่มสุ้มเสียงอื่นๆในยุคบาโรคมีการปรับปรุงการจัดวงแชมเบอร์มิวสิคอีกในชื่อว่าทริโอโซนาตา (ทริโอ sonata) มีผู้บรรเลง 4 คนคือผู้บรรเลงเดี่ยว 2 คนและผู้บรรเลงแนวล่างสุดหรือคอนตินูโอ (Continuo) อีก 2 คนถึงแม้ว่าจะมีจำนวนผู้บรรเลง 4 คนก็ตามแต่ให้ถือว่ามี 3 แนวคือสองแนวแรกเป็นแนวของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยวและแนวที่สามนั้นเป็นของเครื่องดนตรีคอนตินูโอเช่นบาโรคทริโอโซนาตาประกอบด้วยขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 2 ฮาร์พซิคอร์ดและเชลโลนอกจากนี้ยังมีการผสมวงแบบต่าง ๆ ด้วยเครื่องสายและเปียโนเช่นเปียโนทริโอ (เปียโน ไวโอลินและเชลโล)ไทยมีวงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคเช่นกัน โดยนำเอาเครื่องดนตรีตระกูลแซกโซโฟน (โซปราโน, อัลโต, เทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟน) ชื่อ "วงบางกอกแซ็กโซโฟนควอเต็ต" โดยรศ.ดร.สุกรี เจริญสุข และสมาชิก ตั้งแต่ปี 2532การผสมวงที่ใช้เครื่องลมบางชนิดรวมกัน เช่น โอโบ 2, คลาริเนต 2, บาสซูน 2 และแตรเฟรนช์ฮอร์น 2 รวมเรียกว่า วินด์ออคเต็ต (Wind Octet)นอกจากนี้ ถ้าการบรรเลงของแชมเบอร์มิวสิคเกิน 9 คน แต่ไม่ถึง 20 คน เรียก อองซองเบลอ (ensemble) หมายความว่า ด้วยกัน เช่น วินด์ อองซองเบลอกับดับเบิ้ลเบส ของโมสาร์ต ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจในการแสดงของทุกคน รวมถึงความสามารถของนักดนตรีแต่ละคนในกรณีที่กลุ่มนักดนตรีไม่ว่าชนิดที่มีเฉพาะผู้เล่นเครื่องสายล้วนๆ และมีผู้เล่นเครื่องลมผสมอยู่บ้าง แต่รวมแล้วไม่เกิน 30 คน โดยสัดส่วนของวงเช่นเดียวกับวงออร์เคสตรา กลุ่มนักดนตรีนี้ก็จะเรียกว่า วงออร์เคสตราแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Orchestra)ลักษณะการผสมวงแบบแชมเบอร์มิวสิคนี้ หากนักดนตรีที่มารวมกันนั้นเป็นนักศึกษามาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ กัน อาจเป็นการรวมวงระหว่างอาจารย์หรือนักศึกษาที่มีความสามารถทางดนตรีเป็นเยี่ยม มักจะเรียกการรวมวงประเภทนี้ว่า โปรมิวสิกา ออร์เคสตรา (Promusica Orchestra)
การแปล กรุณารอสักครู่..

14 หรือยุคกลางเป็นการผสมวงซึ่งพบในบทเพลงโมเท็ต (เต็ต) และแมดริกัล (Madrigal) ซึ่งเป็นบทเพลงขับร้องโดยนับ แต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 พจนานุกรมให้คำจำกัดความแชมเบอร์มิวสิคว่า "เพลงบรรเลงที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในห้องหรือห้องโถงผู้ชมเล็ก" ศ. ไขแสศุขะวัฒนะแปลว่า หรือจะเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า (นักดนตรี "เพลง) ดนตรีของมิตรสหาย (เพลงเพื่อน) และดนตรีในหมู่เพื่อนฝูง (เพลงหมู่ หรือห้องที่จุผู้ฟังได้น้อยเพราะใช้ผู้เล่นเพียงไม่กี่คนไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียง หรือสังคีตสถานเช่นศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย คุณภาพการเล่นอยู่ที่ความสามารถของผู้เล่น ใครเล่นผิดพลาดจะได้ยินชัดเจน มีนักดนตรีตั้งแต่ 2-9 คนดังนี้- ผู้บรรเลง 2 คนเรียกดูโอ (Duo) - ผู้บรรเลง 3 คนเรียกทริโอ (Trio) - ผู้บรรเลง 4 คนเรียกควอเต็ต (สี่) - ผู้บรรเลง 5 คน เรียกควินเต็ต (กลุ่ม) - ผู้บรรเลง 6 คนเรียกเซกซ์เต็ต (เกลอ) - ผู้บรรเลง 7 คนเรียกเซพเต็ต (Septet) - ผู้บรรเลง 8 คนเรียกออคเต็ต (ออคเต็ต) - ผู้บรรเลง 9 คนเรียกโนเน็ต เช่นสตริงควอเต็ตหมายถึงวงแชมเบอร์มิวสิคที่ประกอบด้วยไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล ได้แก่ กลุ่มเครื่องสายตระกูลไวโอลิน วิโอลา, และเชลโล เช่นวงสตริงควอเต็ต (ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล) (สีโทน) เดียวกัน ทริโอโซนาตา (โซนาตา Trio) มีผู้บรรเลง 4 คนคือผู้บรรเลงเดี่ยว 2 คนและผู้บรรเลงแนวล่างสุดหรือคอนตินูโอ (Continuo) อีก 2 คนถึงแม้ว่าจะมีจำนวนผู้บรรเลง 4 คนก็ตาม แต่ให้ถือว่า มี 3 แนวคือ เช่นบาโรคทริโอโซนาตาประกอบด้วยขลุ่ยรีคอร์เดอร์ที่ 2, ฮาร์พซิคอร์ดและเชลโลนอกจากนี้ยังมีหัวเรื่อง: การผสมวงแบบต่างๆด้วยเครื่องสายและเปียโนเช่นเปียโนทริโอ (เปียโน , (โซปราโน, อัลโต, เทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟน) ชื่อ "วงบางกอกแซ็กโซโฟนควอเต็ต" โดยรศ. ดร. สุกรีเจริญสุขและสมาชิกตั้งแต่ปี เช่นโอโบ 2, คลาริเนตที่ 2, บาสซูน 2 และแตรเฟรนช์ฮอร์น 2 รวมเรียกว่าวินด์ออคเต็ต (ลมออคเต็ต) นอกจากนี้ถ้าการบรรเลงของแชมเบอร์มิวสิคเกิน 9 คน แต่ไม่ถึง 20 คนเรียกอองซองเบลอ (วงดนตรี) หมายความว่าด้วยกันเช่นวินด์อองซองเบลอกับดับเบิ้ลเบสของโมสาร์ต และมีผู้เล่นเครื่องลมผสมอยู่บ้าง แต่รวมแล้วไม่เกิน 30 คน กลุ่มนักดนตรีนี้ก็จะเรียกว่าวงออร์เคสตราแชมเบอร์มิวสิค (หอการค้า กัน มักจะเรียกการรวมวงประเภทนี้ว่าโปรมิวสิกาออร์เคสตรา (Promusica ออเคสตร้า)
การแปล กรุณารอสักครู่..
