Mushrooms are particularly high in

Mushrooms are particularly high in antioxidant activity (Savoie 2008), being placed in the top five
when compared to vegetables (Pellegrini 2003) and being exceptionally high in the antioxidant
ergothioneine (Dubost 2006,2007). As research on mushrooms is in its infancy, it is quite likely that
future research will reveal more bioactive compounds with a specific health benefit. For example,
one paper showed that mushrooms inhibited enzymes associated with the progression of both breast
and prostate cancer (Chen 2006), work that initiated human clinical trials in the US this year.
In summary, a 100g serve of mushrooms will provide at least 10% of the RDI for phosphorus and
potassium, and around 25% of the RDI for riboflavin, niacin, pantothenic acid, biotin, copper and
selenium — eight essential nutrients in all. It is quite unique for a fresh food to provide such a range
of essential nutrients, particularly at these levels.
1.5 Other nutritional considerations
Mushrooms have virtually no sodium, cholesterol or fat. The GI of the mushroom cannot be
determined because of its low carbohydrate content.
2.1 Mushroom consumption patterns
In 1976, Australia’s mushroom consumption was around 600g per capita. Thirty years later, that
had increased five-fold to 3000g per capita. Since 1995, when the last National Nutrition Survey
was completed, the annual Australian mushroom market has increased from around 40,000 tonnes
to over 60,000 tonnes, and mushroom consumption has increased from 2.5 kg per capita to 3 kg per
capita.
This year, the Mobium Group conducted a market research survey of 946 mushroom consumers for
the X. Over a quarter (27%) of consumers ate mushrooms three times a week, while 34%
consumers ate mushrooms four or more times a week. That means that 61% of mushroom
consumers in the study ate mushrooms at least three times a week (Mobium 2008).
Over 60% of mushroom consumers in the survey said that mushrooms were “extremely healthy and
contain a high level of vitamins and minerals”, with heart health and weight loss being the most
commonly cited health benefits from eating mushrooms. Compared to vegetables, fruits and nuts
that were perceived to be ‘superfoods’ (eg spinach, blueberries, walnuts), mushrooms were
consumed in greater amounts than all but the tomato.
People of most cultures eat mushrooms, mainly because of their unique flavour and texture, and
their nutritional benefits. The highest consumers are those with an Asian or European born adult in
the household (Brownlee 2006). Mushrooms are popular with vegetarians and becoming an
important food for those on a budget (a serve of mushrooms costs 70-90 cents, less than a serve of
meat, chicken or fish).
2.1 Mushroom purchasing patterns
Current Australian per capita consumption is 3.0kg but latent demand for mushrooms is

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เห็ดมีสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจกรรมต้านอนุมูลอิสระ (Savoie 2008), ถูกวางไว้ด้านบนห้าเมื่อเปรียบเทียบกับผัก (Pellegrini 2003) และกำลังสูงในการต้านอนุมูลอิสระergothioneine (Dubost 2006,2007) เป็นวิจัยเห็ดในของตราสินค้า เป็นไปได้มากที่งานวิจัยในอนาคตจะเปิดเผยสารกรรมการกเพิ่มเติมกับสวัสดิการสุขภาพเฉพาะ ตัวอย่างกระดาษหนึ่งแสดงให้เห็นว่า เห็ดห้ามเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของเต้านมทั้งสองและมะเร็งต่อมลูกหมาก (2006 เฉิน), ทำงานที่เริ่มต้นทดลองทางคลินิกในมนุษย์ในสหรัฐอเมริกาปีนี้ในสรุป บริการ 100 กรัมเห็ดจะให้น้อยกว่า 10% ของ RDI สำหรับฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม และประมาณ 25% ของ RDI ไรโบเฟลวิน ไนอาซิน กรดแพนโทธีนิค ไบโอติ น ทองแดง และเกลือ — 8 สารอาหารที่จำเป็นในการ จึงค่อนข้างเฉพาะสำหรับอาหารสดให้ช่วงดังกล่าวมอบสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับนี้1.5 พิจารณาอื่น ๆ โภชนาการเห็ดมีแทบไม่มีโซเดียม ไขมันหรือ fat GI ของเห็ดไม่กำหนดเนื่องจากเนื้อหาคาร์โบไฮเดรตต่ำ2.1 รูปแบบการใช้เห็ดในปี 1976 ปริมาณเห็ดของออสเตรเลียได้ประมาณ 600 กรัมต่อ capita สามสิบปีต่อมา ที่มีเพิ่ม five-fold ไป 3000g ต่อหัว ตั้งแต่ 1995 เมื่อสำรวจโภชนาการแห่งชาติล่าสุดไม่สมบูรณ์ ตลาดเห็ดออสเตรเลียประจำปีได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40000 ตันto over 60,000 tonnes, and mushroom consumption has increased from 2.5 kg per capita to 3 kg percapita.This year, the Mobium Group conducted a market research survey of 946 mushroom consumers forthe X. Over a quarter (27%) of consumers ate mushrooms three times a week, while 34%consumers ate mushrooms four or more times a week. That means that 61% of mushroomconsumers in the study ate mushrooms at least three times a week (Mobium 2008).Over 60% of mushroom consumers in the survey said that mushrooms were “extremely healthy andcontain a high level of vitamins and minerals”, with heart health and weight loss being the mostcommonly cited health benefits from eating mushrooms. Compared to vegetables, fruits and nutsthat were perceived to be ‘superfoods’ (eg spinach, blueberries, walnuts), mushrooms wereconsumed in greater amounts than all but the tomato.People of most cultures eat mushrooms, mainly because of their unique flavour and texture, andtheir nutritional benefits. The highest consumers are those with an Asian or European born adult inthe household (Brownlee 2006). Mushrooms are popular with vegetarians and becoming animportant food for those on a budget (a serve of mushrooms costs 70-90 cents, less than a serve ofmeat, chicken or fish).2.1 Mushroom purchasing patternsCurrent Australian per capita consumption is 3.0kg but latent demand for mushrooms is

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เห็ดที่สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต้านอนุมูลอิสระ (วัว 2008)
ถูกวางไว้ในห้าอันดับแรกเมื่อเทียบกับผัก(Pellegrini 2003) และความสูงเป็นพิเศษในการต้านอนุมูลอิสระ
ergothioneine (Dubost 2006,2007)
ในฐานะที่เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดที่อยู่ในวัยเด็กของตนมันค่อนข้างไปได้ว่าการวิจัยในอนาคตจะเปิดเผยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากขึ้นด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่างเช่นกระดาษแผ่นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าเห็ดเอนไซม์ยับยั้งที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของเต้านมทั้งสองและมะเร็งต่อมลูกหมาก(เฉิน 2006) งานที่เริ่มต้นการทดลองทางคลินิกของมนุษย์ในสหรัฐอเมริกาในปีนี้. ในการสรุปเป็น 100 กรัมให้บริการของเห็ดจะให้อย่างน้อย 10 % ของ RDI สำหรับฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมและประมาณ25% ของ RDI สำหรับ riboflavin, ไนอาซินกรด pantothenic, ไบโอติน, ทองแดงและซีลีเนียม- แปดสารอาหารที่จำเป็นในทุก มันค่อนข้างที่ไม่ซ้ำกันสำหรับอาหารสดที่จะให้บริการดังกล่าวในช่วงของสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับเหล่านี้. 1.5 การพิจารณาทางโภชนาการอื่น ๆเห็ดมีโซเดียมแทบไม่มีคอเลสเตอรอลหรือไขมัน GI ของเห็ดไม่สามารถกำหนดเพราะเนื้อหาคาร์โบไฮเดรตต่ำ. 2.1 รูปแบบการบริโภคเห็ดในปี1976 การบริโภคเห็ดของออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ 600 กรัมต่อหัว สามสิบปีต่อมาที่ได้เพิ่มขึ้นห้าเท่าที่จะ 3000G ต่อหัว ตั้งแต่ปี 1995 เมื่อการสำรวจโภชนาการแห่งชาติที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วตลาดเห็ดประจำปีของออสเตรเลียได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ40,000 ตันไปกว่า60,000 ตันและการบริโภคเห็ดได้เพิ่มขึ้นจาก 2.5 กิโลกรัมต่อหัวถึง 3 กิโลกรัมต่อหัว. ปีนี้ Mobium กลุ่ม ดำเนินการสำรวจวิจัยตลาดของผู้บริโภคเห็ด 946 สำหรับเอ็กซ์กว่าหนึ่งในสี่(27%) ของผู้บริโภคกินเห็ดสามครั้งต่อสัปดาห์ในขณะที่ 34% ของผู้บริโภคกินเห็ดสี่หรือมากกว่าครั้งต่อสัปดาห์ นั่นหมายความว่า 61% ของเห็ดผู้บริโภคในการศึกษากินเห็ดอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์(Mobium 2008). กว่า 60% ของผู้บริโภคเห็ดในการสำรวจกล่าวว่าเห็ดเป็น "มากมีสุขภาพดีและมีระดับสูงของวิตามินและแร่ธาตุ" กับสุขภาพหัวใจและการสูญเสียน้ำหนักมากที่สุดเป็นธรรมดาอ้างประโยชน์ต่อสุขภาพจากการรับประทานเห็ด เมื่อเทียบกับผักผลไม้และถั่วที่มีการรับรู้ที่จะ 'superfoods' (เช่นผักขม, บลูเบอร์รี่, วอลนัท), เห็ดถูกบริโภคในปริมาณที่มากขึ้นกว่าแต่มะเขือเทศ. คนวัฒนธรรมส่วนใหญ่กินเห็ดส่วนใหญ่เป็นเพราะรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาและ พื้นผิวและสิทธิประโยชน์ทางโภชนาการของพวกเขา ผู้บริโภคที่สูงที่สุดเป็นผู้ที่มีผู้ใหญ่ที่เกิดในเอเชียหรือยุโรปในครัวเรือน (Brownlee 2006) เห็ดเป็นที่นิยมกับมังสวิรัติและกลายเป็นอาหารที่สำคัญสำหรับผู้ที่งบประมาณ (เป็นหน้าที่ของเห็ดค่าใช้จ่าย 70-90 เซนต์น้อยกว่าทำหน้าที่ของเนื้อไก่หรือปลา). 2.1 เห็ดรูปแบบการซื้อปัจจุบันการบริโภคต่อหัวออสเตรเลีย3.0kg แต่ความต้องการที่ซ่อนเร้นสำหรับเห็ดคือ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เห็ดจะสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ( ซาวัว 2008 ) , ถูกวางไว้ในด้านบนห้า
เมื่อเทียบกับผัก ( เพลเลกรินี่ 2003 ) และสูงเป็นพิเศษในโกไธโอนีนสารต้านอนุมูลอิสระ
( dubost 20062007 ) การวิจัยเกี่ยวกับเห็ดอยู่ในวัยเด็กของ มันค่อนข้างที่
การวิจัยในอนาคตจะเปิดเผยมากขึ้น สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น
กระดาษหนึ่งพบว่า เห็ด ยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของทั้งสองเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก ( เฉิน )
) งานที่ริเริ่มการทดลองทางคลินิกในมนุษย์เราปีนี้ .
ในการสรุป , 100 กรัมของเห็ดจะให้บริการอย่างน้อย 10% ของปริมาณธาตุฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
, และประมาณ 25% ของ ปริมาณสำหรับวิตามินบี2 ไนอาซิน กรด Pantothenic ไบโอตินทองแดง
ซีลีเนียม - แปดสารอาหารที่จําเป็นในทั้งหมด มันค่อนข้างที่ไม่ซ้ำกันสำหรับอาหารสดให้เช่นช่วง
สารอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับนี้ การพิจารณาอื่น ๆ

สำหรับโภชนาการเห็ดมีแทบไม่มีโซเดียม คอเลสเตอรอล หรือไขมัน กิของเห็ดไม่สามารถ
กำหนดเพราะเนื้อหาคาร์โบไฮเดรตต่ำ .
2.1 แบบแผนการบริโภคเห็ด
ในปี 1976การบริโภคเห็ดของออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ 600g ต่อหัว สามสิบปีต่อมาที่ได้เพิ่มขึ้นห้าเท่าใน
3000g ต่อหัว ตั้งแต่ปี 1995 เมื่อล่าสุดโภชนาการแห่งชาติสำรวจ
แล้วเสร็จ ปี ตลาดเห็ดของออสเตรเลียได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40 , 000 ตัน
กว่า 60 , 000 ตัน และการบริโภคเห็ดได้เพิ่มขึ้นจาก 2.5 กก. ต่อหัว 3 กก. ต่อหัวต่อ
.
ปีนี้กลุ่ม mobium ทำการวิจัยตลาดสำรวจผู้บริโภคเห็ด 946 สำหรับ
X . มากกว่าหนึ่งในสี่ ( 27% ) ของผู้บริโภคกินเห็ดสามครั้งต่อสัปดาห์ ในขณะที่ผู้บริโภค 34 %
กินเห็ด หรือมากกว่าสี่ครั้งต่อสัปดาห์ นั่นหมายถึงว่า 61% ของผู้บริโภคเห็ด
ในการศึกษากินเห็ดอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ ( mobium
2008 )กว่า 60% ของผู้บริโภคเห็ดในการสำรวจกล่าวว่า เห็ดมีมากมีสุขภาพดีและ
ประกอบด้วยระดับสูงของวิตามินและแร่ธาตุ " กับสุขภาพหัวใจและการสูญเสียน้ำหนักที่ถูกอ้างถึงโดยทั่วไปมากที่สุด
ประโยชน์ต่อสุขภาพจากการรับประทานเห็ด เมื่อเปรียบเทียบกับผัก
ที่รับรู้เป็น ' Superfoods ผลไม้และถั่ว ( เช่นผักขม , บลูเบอร์รี่ , วอลนัท ) , เห็ดถูก