ความคิดเรื่องการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เป็นความเห็นแตกต่างของมหาชนชาวนครศรีธรรมราช เอง ฝ่ายหนึ่ง เห็นว่ามีมาก่อนแล้วปรักหักพังไป เพราะเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองสำคัญ เป็นเมืองแม่ของเมืองแม่ของเมืองบริวาร 12 เมือง (เมืองสิบสองนักษัตร) จะต้องมีหลักเมืองเป็นศักดิ์ศรี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองสมบูรณ์แบบตามโบราณประเพณี ฝ่ายนี้เห็นว่าควรสร้างหลักเมือง และขยายความด้วยเหตุผลตามหลักโหราศาสตร์ว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชได้สืบทอดประวัติมาเป็นเวลาอันยาวนาน เป็นมหานครทางภาคใต้และเป็นบ่อเกิดของศิลปวัฒนธรรมสำคัญของชนขาติไทย โดยมีพระบรมธาตุเป็นหลักชัยของชาวพุทธ เป็นศูนย์รวมศรัทธาศาสนาและความเชื่อต่างๆ แต่สำหรับการสร้างบ้านเมือง จะต้องมีเสาหลักเมืองอันเป็นหลักชัยของบ้านเมืองและอยู่ควบคู่กับศาสนสถาน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าชะตาเมืองของนครศรีธรรมราชได้สร้างขึ้น ณ วันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ศก 649 พ.ศ. 1830 ตรงกับสมัยกรุงสุโขทัยมีอำนาจ
ดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชที่กำหนดขึ้นในครั้งนั้นผู้ทรงวุฒิวิทยากรโหรได้ตรวจสอบพบว่า เข้าเกณฑ์ภัยร้ายหลายประการ ไม่เป็นผลดีแก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและอนาคต สมควรที่จะวางชะตาเมืองใหม่ เพื่อให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ตามประเพณีความเชื่อของบรรพบุรุษ โดยการวางศิลาฤกษ์ดวงชะตาเมืองขึ้นใหม่ และสร้างหลักเมืองขึ้นเป็นเสาหลัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน อยู่ควบคู่กับองศ์พระบรมธาตุตลอดไป ถ้าหลักเมืองนครศรีธรรมราชเคยมีมาก่อน ฝ่ายนี้ก็มีเหตุผล มีร่องรองที่น่าจะเป็นสถานที่สร้างหลักเมืองอยู่เหมือนกัน ได้แก่ สถานที่ต่อไปนี้
1. หินหลัก ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "ท่าชี" ทางด้านทิศเหนือขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นเสาหินขนาดย่อม ปัก (ฝัง) ไว้ ปัจจุบันหายไป สถานที่นั้นเป็นทางสี่แยกเล็กๆ แคบๆ คนอายุ 50-60 ปีคงเคยเห็น และปัจจุบันก็ยังเรียกที่ตรงนั้นว่า "หินหลัก" เรื่องนี้สันนิษฐานกันว่า เป็นนิมิตหมายอะไรบางอย่างสำหรับเมืองนคร เพราะอยู่ในตัวเมืองชั้นใน และถ้าจะเป็นหลักเขตธรรมดาของที่ดินก็ไม่น่าจะใช่ เพราะลักษณะเสาหรือหลักเป็นหิน มิใช่ไม้หรือปูนที่ทำกันทั่วไป แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ไม่เชื่อกันสนิทนัก เพราะลักษณะการฝัง ไม่มีฐานราก ไม่มีอาณาบริเวณและลวดลายประดิษฐ์แต่อย่างใด
2. ศาลพระเสื้อเมือง มีหลักฐานปรากฏเป็นเรื่องบอกเล่า ประกอบกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ บ่งบอกว่าเป็นสถานที่สำคัญของเมืองว่า "ศาลพระเสื้อเมือง" ตามคติโบราณ เมื่อใดที่มีการตั้งบ้านเมืองก็มักจะสร้างศาลไว้ให้เทพารักษ์ ผู้รักษาบ้านเมืองด้วย ศาลพระเสื่อเมืองของนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ด้านหลังของหอนาฬิกา สันนิษฐานว่าคงจะเป็นกลางเมืองในอดีต และคงสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย ศาลเดิมคงสร้างด้วยไม้ จึงไม่เหลือร่องรอย เพราะผุพังลงตามกาลเวลา หลักจากนั้นเข้าใจว่ามีการสร้างขึ้นใหม่อีกหลายครั้ง มีผู้บันทึกไว้ว่า เมื่อประมาณ 80 ปีมาแล้ว เป็นศาลไม้ หลังคามุงกระเบื้อง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ภายในประดิษฐานเทพารักษ์ สององค์ ลักษณะคล้ายกับท้าวกุเวรราช ในพระวิหารพระม้า วัดพระมหาธาตุฯ ต่อมามีผู้บูรณะเทวรูปทั้งสององค์นี้แล้วลงรักปิดทอง ในระยะหลังปรากฏว่าศาลพระเสื้อเมืองเป็นที่นับถือของชาวจีนเป็นจำนวนมาก ศาลนี้จึงได้รับการตกแต่งจนดูคล้ายศาลเจ้าของจีน อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเมืองนครศรีธรรมราชไม่เคยมีหลักเมืองมาก่อน ถ้าเคยมีก็น่าจะมีหลักฐานร่องรอยให้เห็นเช่นเดียวกับกำแพงเมืองโบราณ
3. ฝ่ายนี้สรุปเหตุผลว่า เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองพระ หลักเมืองสำคัญ คือ พระบรมธาตุเจดีย์ ไม่มีหลักเมืองใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว มีคนทึกทักเอาว่า การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันจะเป็นเหตุแห่งความแตกแยก ซึ่งผู้เขียนเห็นว่านั้นแหละคือ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเมืองนคร พูดจากันก่อนและร่วมกันทำ เมื่อยุติตกลงกันว่า จะสร้างหลักเมือง (บูรณะ) ในบริเวณสนามหน้าเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 2 ไร่แล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับส่วนราชการองค์กรภาครัฐและเอกชน บริษัทห้างร้าน พ่อค้าประชาชน พ่อค้าประชาชน จึงร่วมกันดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
o การออกแบบ แกะสลักหรือ ประติมากรรม
o พิธีเบิกเนตรหลักเมือง
o พิธีทรงเจิมหลักเมือง ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
o การนำ (เชิญ) หลักเมืองมาประดิษฐาน ณ สนามหน้าเมือง
พิธีกรรมต่าง ๆ ข้างต้นนี้ นอกจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีบุคคลสำคัญอื่นร่วมประกอบพิธีด้วย เช่น พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร วางศิลาฤกษ์ศาลพระเสื้อเมือง นายอนันต์ อนันตกุล วางศิลาฤกษ์สร้างศาลสถิตจตุโลกเทพ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เททองหล่อยอดชัยเสาหลักเมือง เป็นที่น่าแปลกใจอยู่บ้างว่า ศาลหรือหลักเมืองนครศรีธรรมราชไม่ปรากฏร่องรอยมาก่อน แต่ใช้คำว่า "บูรณะ" และสถานที่สร้างเป็น "หน้าเมือง" ไม่ใช่ "ในเมือง" ซึ่งเป็นเรื่องน่าสังเกตเพียงเล็กน้อย มิใช่ประเด็นสำคัญ