The shift in demographics commerce

The shift in demographics commerce and economics that resulted from the Industrial Revolution sowed the seeds of discontent among the working classes that led to the phenomenal rise of the unions in the lead-up to the First World War. Influenced by reforming philosophers and enlightened church leaders, the union movement grew to become a powerful force.

First Major Strike Wins
After the first effective strikes, that of the Bryant and May matchgirls in 1888 and the London gas workers and dockers in 1889, trade unions sprang up everywhere in a resurgence of socialist activity. Membership rose from somewhere in the region of three-quarters of a million to over six-and-a-half million by the end of First World War.

A few years after these gains the employers fought back with a number of legal precedents, allowing them to gain compensation from unions for damages caused by strikes, and outlawing picketing, which had begun in the middle of the 19th century as the first labour unions sprung up.

In 1910, there was a wave of strikes as the rise of radical socialist union members attacked the leaders of the moderate Trades Union Council (TUC) for collaborating with the ruling classes.

Radicalism Takes a Breather
After the First World War there was a boom period and, although the war had emphasised the gap between the upper and lower classes, radicalism went quiet for a while. Mass enfranchisement, with all UK citizens earning the right to vote in 1928, went a long way to diverting attention. This coincided with the decline of the Liberal Party and the emergence of the workers' party, the Labour Party, strongly supported by union funds, as the main opposition.

In the inter-war years, the rise of fascism clouded the picture with the communists directly opposing them. This meant that the Labour Party, with a strong anti-communist stance, found itself effectively supporting fascism by refusing to join the broader anti-fascist front. The outbreak of the Second World War cleared the air and the foundations were laid for the first Labour Government in 1945.

The unions and the Labour Party were largely united in their efforts to change society for the better of the common man. Many industries were brought into public ownership (nationalised) to take them out of the hands of the ruling classes, and the National Health Service promised free healthcare for all.

Labour also immediately repealed the 1927 Trades Dispute and Trades Unions Act, allowing more union participation in the Party. But a harsh winter and an economic crisis in 1947 put the pressure on the government and a wage freeze was implemented, tolerated but not supported by the TUC.

Conservatives in Control
The result of this unrest and Labour's ineffectiveness at running the country was a Conservative Government from 1951 to 1964. Full employment in the post-war rebuilding years of the 1950s put the unions in a weak position with their membership, so initially they concentrated on the beneficial aspects of unionism, supporting members and their families.

As economic growth weakened in the late 1950s and early 1960s unemployment returned and some calamitous decisions by industry owners set the tone for confrontation. This period put the unions, who had only tasted power for a couple of years, squarely in conflict with the government and the excesses that earned the trade union movement such a bad name in the latter half of the 20th Century were all being practised.

The closed shop, restricting work to union members only, compulsory union membership and public voting on major issues made coercion too easy a tool for many shop stewards to ignore. The press, run as it was by the upper classes, focused on the intransigence of the unions, while ignoring the desperately poor management of businesses that often led to union action.

With the on-off strikes of the 1970s, resulting in power cuts and the three-day week when the oil crisis hit in 1973-74, union membership continued to rise despite their depiction in the national press as the villains of the piece. Membership rose until, in 1979, 55% of the all workers were union members, although the closed shop was responsible for much of that, and resentment at the closed shop and its restriction on job movement was felt at all levels in the workplace.

All Change
But 1979 also heralded the election of the UK's first woman Prime Minister, Margaret Thatcher. And she had her own plans for the unions.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กะค้าข้อมูลประชากรและเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม sowed เมล็ดพอใจระหว่างเรียนทำงานที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นปรากฏการณ์สหภาพในหมดไปสงครามโลกครั้งหนึ่ง รับอิทธิพลจากปรัชญาปฏิรูป และผู้นำคริสตจักร enlightened ขบวนการสหภาพเพิ่มขึ้นเป็น กองทัพที่มีประสิทธิภาพแรกหลักตีชนะหลังจากที่มีประสิทธิภาพแรก นัด ที่ไบรอันท์ และอาจ matchgirls ใน 1888 และผู้ปฏิบัติงานก๊าซธรรมชาติลอนดอน และ dockers ในจาก 1889 สหภาพ sprang ขึ้นทุกในรีเซอร์เจนซ์กิจกรรมสังคมนิยม สมาชิกโรสจากที่ใดที่หนึ่งในแคว้น three-quarters เป็นล้านกับ 6 และครึ่งล้าน โดยจุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งแรกไม่กี่ปีหลังกำไรเหล่านี้นายจ้างสู้กลับ มีเซลล์ที่ถูกอ้างกฎหมาย ทำให้ได้รับค่าตอบแทนจากสหภาพแรงงานสำหรับความเสียหายที่เกิดจากการนัดหยุดงาน และ outlawing picketing ซึ่งเริ่มในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นสหภาพแรงงานแรกที่ผุดขึ้นใน 1910 มีคลื่นของการนัดหยุดงานเป็นการเพิ่มขึ้นของสมาชิกสหภาพสังคมนิยมรุนแรงโจมตีผู้นำของการปานกลางค้าสหภาพสภา (TUC) สำหรับการร่วมมือกับชนชั้นปกครองRadicalism ใช้ลมหลังจากสงครามโลกครั้งหนึ่ง มีระยะเวลาบูม และ radicalism แม้ว่าสงครามได้ emphasised ช่องว่างระหว่างชั้นบน และล่าง ไปพักหนึ่ง โดยรวม enfranchisement กับพลเมืองสหราชอาณาจักรทั้งหมดรายได้ด้านขวาลงใน 1928 ไปไกลเพื่อโอนสนใจ นี้ร่วมกับการลดลงของพรรคเสรีนิยมและการเกิดขึ้นของผู้ปฏิบัติงานพรรค พรรคแรงงาน ขอรับการสนับสนุน โดยกองทุนร่วม เป็นฝ่ายค้านหลักในระหว่างสงครามปี เพิ่มขึ้นของฟาสซิสต์เสือลายเมฆรูปภาพกับคอมมิวนิสต์โดยตรงแก่พวกเขา นี้หมายถึง ว่า พรรคแรงงาน มีการต่อต้านคอมมิวนิสต์ชัดเจน พบตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสนับสนุนฟาสซิสต์ โดยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมหน้าฟาสซิสต์กว้างขึ้น ระบาดของสงครามโลกครั้งสองล้างอากาศ และมูลนิธิได้วางรัฐบาลแรงงานแรกในปีค.ศ. 1945สหภาพแรงงานและพรรคแรงงานได้ใหญ่สหรัฐในการพยายามที่เปลี่ยนสังคมดีกว่าของคนทั่วไป หลายอุตสาหกรรมได้มาเป็นเจ้าของประชาชนที่จะนำพวกเขาออกจากมือของชนชั้นปกครอง (nationalised) และบริการสุขภาพแห่งชาติสัญญาว่า จะดูแลสุขภาพฟรีทั้งหมดนอกจากนี้แรงงานยังทันที repealed ข้อพิพาทการค้า 1927 และบัญญัติสหภาพเทรด ให้เพิ่มเติมเข้าร่วมสหภาพในพรรค แต่ฤดูหนาวรุนแรงและวิกฤตทางเศรษฐกิจในใส่แรงกดดันให้รัฐบาล และตรึงค่าจ้างดำเนินการ อภัยโทษ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน โดย TUCอนุรักษ์ในการควบคุมผลของความไม่สงบนี้และ ineffectiveness ของแรงงานในประเทศถูกรัฐบาล อนุรักษนิยมจาก 1951 ถึงปี 1964 จ้างเต็มในปีหลังสงคราม rebuilding ของมินิใส่สหภาพแรงงานในฐานะสมาชิกของพวกเขาอ่อนแอ ดังนั้นเริ่มจะเข้มข้นในด้านประโยชน์ของ unionism สนับสนุนสมาชิกและครอบครัวเมื่อเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 และต้น 1960s งานส่งกลับและการตัดสินใจบาง calamitous เจ้าอุตสาหกรรมตั้งเสียงสำหรับการเผชิญหน้า ช่วงนี้ใส่สหภาพ ที่เพียงได้ลิ้มรสพลังงานสำหรับไม่กี่ปี เริ่มขัดแย้งกับรัฐบาลและ excesses ที่ได้ชื่อดังกล่าวไม่ถูกต้องในหลังครึ่งหนึ่งของศตวรรษ 20 มีทั้งหมดกำลังปฏิบัติการเคลื่อนไหวของสหภาพปิดร้าน การจำกัดการทำงานเท่านั้น บังคับสมาชิกสหภาพสมาชิกสหภาพแรงงานและประชาชนที่ลงคะแนนเสียงในวิชาแกมบังคับปัญหาทำเครื่องมือง่ายเกินไปสำหรับหลายร้านเสนาบดีละเว้น กด ทำตาม โดยชนชั้นสูง เน้นกูเกิลของสหภาพแรงงาน ในขณะที่ละเว้นการบริหารธุรกิจที่มักจะนำไปสู่การดำเนินการยูเนียนจนหมดได้มีปิดนัดหยุดงานของทศวรรษ 1970 เกิดขึ้นในการตัดพลังงานและสามวันสัปดาห์เมื่อวิกฤตน้ำมันตีใน 1973-74 สมาชิกสหภาพยังคงเพิ่มขึ้นแม้ มีการแสดงให้เห็นการในชาติเป็นคนร้ายของชิ้นส่วน สมาชิกโรจน ในปีค.ศ. 1979, 55% ของแรงงานทั้งหมดมีสมาชิกสหภาพแรงงาน แม้ ว่าการปิดร้านชอบมากของที่ ความรู้สึกแค้นใจที่ร้านปิดและความจำกัดในการเคลื่อนไหวงานทุกระดับในสถานทำงานเปลี่ยนแปลงทั้งหมดแต่ปีค.ศ. 1979 ยังยกย่องว่า การเลือกตั้งของประเทศอังกฤษผู้หญิงคนแรกนายกรัฐมนตรี มาร์กาเร็ต Thatcher และเธอมีแผนสำหรับสหภาพแรงงานของตนเอง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การเปลี่ยนแปลงในกลุ่มพาณิชย์และเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม หว่านเมล็ดแห่งความไม่พอใจในหมู่ชนชั้นแรงงานที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นปรากฏการณ์ของสหภาพแรงงานในตะกั่วได้ถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 อิทธิพลจากนักปรัชญาและรู้แจ้งผู้นำคริสตจักร , การเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานเติบโตเป็นพลัง ตีครั้งแรก

ชนะหลังจากนัดแรกมีประสิทธิภาพที่ของ ไบรอัน และอาจ matchgirls ใน 1888 และลอนดอน แก๊ส คนงาน และท่าเรือใน ค.ศ. 1889 สหภาพแรงงานผุดขึ้นทุกที่ในการฟื้นตัวของกิจกรรมสังคมนิยม สมาชิกเพิ่มขึ้นจากที่อื่นในภูมิภาคอีก 3 ล้านกว่า six-and-a-half ล้านโดยการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ไม่กี่ปีหลังจากผลประโยชน์เหล่านี้นายจ้างกลับต่อสู้กับจำนวนของบรรทัดฐานทางกฎหมาย , ช่วยให้พวกเขาได้รับการชดเชยจากความเสียหายที่เกิดจากการนัดหยุดงานของสหภาพแรงงาน และ outlawing ทุกัง ซึ่งได้เริ่มขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 เป็นแรงงานแรกผุดขึ้น

ใน 1910 ,มีคลื่นของนัดที่เพิ่มขึ้นของสมาชิกสหภาพสังคมนิยมหัวรุนแรงโจมตีผู้นำของสหภาพสภาปานกลาง ( TUC ) สำหรับการร่วมมือกับผู้ปกครองในชั้นเรียน ใช้ลม

หัวรุนแรงหลังจากที่แรกของโลกสงครามมีบูมและระยะเวลา แม้ว่าสงครามเน้นช่องว่างระหว่างชนชั้นสูงและลดลงรุนแรงก็เงียบไปสักพักมวล enfranchisement กับ UK ประชาชนได้รับสิทธิที่จะออกเสียงลงคะแนนใน 1928 , ไปไกลเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ นี้สอดคล้องกับการลดลงของพรรคเสรีนิยมและการเกิดขึ้นของพรรคแรงงาน , พรรคแรงงาน , ขอการสนับสนุนจากกองทุนสหภาพ เป็นฝ่ายค้านหลัก

ในสงครามระหว่างปี ของลัทธิฟาสซิสต์บดบังภาพกับคอมมิวนิสต์โดยตรงแก่พวกเขาตั้งใจ ว่า พรรคมีจุดยืนเข้มแข็งต่อต้านคอมมิวนิสต์ พบตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสนับสนุนลัทธิฟาสซิสต์ โดยปฏิเสธที่จะร่วมต่อต้านเผด็จการ กว้างด้านหน้า การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านอากาศและรากฐานที่ถูกวางสำหรับแรงงานภาคแรกในปี 1945 .

สหภาพแรงงานและพรรคส่วนใหญ่สหรัฐอเมริกาในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นของคนทั่วไป อุตสาหกรรมหลายประเภทมาเป็นกรรมสิทธิ์สาธารณะ ( nationalised ) ที่จะพาพวกเขาออกจากมือของชนชั้นปกครอง และบริการสุขภาพแห่งชาติสัญญาการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับทุกคน .

เลยยกเลิกการขายแรงงานและสหภาพแรงงานข้อพิพาทการค้า 1927 พรบ.ให้มากกว่าสหภาพมีส่วนร่วมในพรรค แต่ฤดูหนาวที่โหดร้าย และวิกฤติเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2490 วางความดันในรัฐบาล และค่าจ้างแช่แข็งที่ถูกใช้ ยอมรับ แต่ไม่สนับสนุน โดยดอก


อนุรักษ์นิยมในการควบคุมผลนี้ไม่สงบและแรงงานเป็นประโยชน์ที่บริหารประเทศเป็นรัฐบาลอนุรักษ์นิยมจาก 2494 ถึง 2503 .การจ้างงานในช่วงหลังปีใหม่ของปี 1950 ทำให้สหภาพแรงงานในตำแหน่งที่อ่อนแอกับสมาชิกของพวกเขา ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาเข้มข้นในแง่มุมที่เป็นประโยชน์ของสหภาพแรงงาน สนับสนุนสมาชิกและครอบครัวของพวกเขา .

ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงในปลายปี 1950 และต้นปี 1960 การว่างงานกลับและการตัดสินใจหายนะบางอย่าง โดยเจ้าของอุตสาหกรรมตั้งค่าเสียงสำหรับ การเผชิญหน้าช่วงนี้ใส่สหภาพแรงงานที่ได้ลิ้มรสพลังซักสองสามปี เริ่มขัดแย้งกับรัฐบาลและ excesses ที่ได้รับขบวนการสหภาพแรงงานเลวชื่อในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ทุกคนถูกฝึก

ร้านปิดการทำงานของสมาชิกสหภาพเท่านั้นการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานบังคับและลงคะแนนเสียงสาธารณะในประเด็นที่สําคัญที่ทําการบีบบังคับด้วยง่ายเครื่องมือสำหรับผู้ดูแลร้านหลายคนมองข้าม กดวิ่งก็โดยชนชั้นสูง , มุ่งเน้นไปที่ intransigence ของสหภาพ ในขณะที่ละเว้นการจัดการหมดท่าไม่ดีของธุรกิจที่มักจะนำไปสู่สหภาพการกระทํา

กับปิด การนัดหยุดงานของทศวรรษส่งผลให้ลดอำนาจและสามวันสัปดาห์เมื่อวิกฤติน้ำมันตีใน 2516-17 เป็นสมาชิกสหภาพของพวกเขายังคงเพิ่มขึ้นแม้ภาพในหนังสือพิมพ์แห่งชาติเป็นผู้ร้ายของชิ้น สมาชิกเพิ่มขึ้นจนกระทั่งในปี 1979 , 55 เปอร์เซ็นต์ของคนงานทั้งหมดสมาชิกสหภาพ แม้ว่าร้านจะปิดเป็นผู้รับผิดชอบมากว่าและความแค้นที่ร้านปิดและข้อ จำกัด ของขบวนการงานรู้สึกทุกระดับในที่ทำงาน


แต่เปลี่ยนทั้งหมด 1979 ยังได้รับการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักรคนแรกที่นายกรัฐมนตรี มาร์กาเร็ต แธทเชอร์ แล้วเธอมีแผนการของเธอเอง
สหภาพแรงงาน